
คือ Tom Hanks นั่นเอง และส่วนตัวผู้กำกับนั้นก็เป็นคนที่กำกับตอนทำละครเวทีนั่นแหละ เธอคือ ฟิลินด้า ลอยด์ ซึ่งเธอคือคนที่เหมาะที่สุดที่จะกำกับหนังเรื่องนี้ ส่วนในเรื่องของเพลงประกอบนั้นคงเดาไม่ยากเพราะเป็นหนังเพลงของ ABBA คนที่ทำเพลงก็ต้องเป็นสมาชิกของวงแน่นอน หนังเรื่องนี้ก่อนอื่นต้องบอกว่ามันหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเพลงของ ABBA ก่อนเพราะดูจากตัวหนังแล้วมันไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจไปกว่านี้แล้ว นอกเสียจากจะเบี่ยงความสนใจไปที่ผู้แสดงหลักในเรื่องซึ่งคับคั่งไปด้วยดาราที่มีฝือมือเยี่ยมทั้งนั้น เมนของหนังเรื่องนี้ก็คืองานแต่งงานที่เจ้าสาวต้องการรู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครกันแน่เพราะแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง แต่เธอดันไปเจอไดอารี่ของแม่ตัวเองเข้า และในนั้นเขียนถึงผู้ชาย 3 คน 
เธอจึงคิดว่า 1ใน3 คนนี้ต้องมีสักคนที่เป็นพ่อของเธอแน่นอน เธอจึงจัดการเชิญทั้งสามคนมาร่วมงานแต่ของเธอ และเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้น โดยโลเคชั่นของเรื่องนี้เป็นเกาะๆหนึ่งในประเทศกรีซ ซึ่งเป็นที่ที่โซเฟีย(อะแมนด้า)อาศัยอยู่กับแม่ของเธอ (เมอรีล สตรีฟ) แม่ของเธอทำธุรกิจโรงแรมเล็กๆบนเกาะและตอนนี้โซเฟียกำลังจะแต่งงานกับสกาย(โดมินิค คูเปอร์) โซเฟียตัดสินใจเชิญ แซม คาร์ไมเคิล (เพียร์ซ บรอสแนน) แฮร์รี่ ไบร์ท (คอลิน เฟิร์ธ)และ บิล แอนเดอร์สัน (สแตนแลน สตาร์การ์ด) 
ซึ่งเธอคิดว่าหนึ่งในสามคนนี้ต้องเป็นพ่อของเธอสักคน โดยที่เธอไม่ได้บอกแม่ของเธอเรื่องราววุ่นๆจึงเกิดขึ้นบนเกาะก่อนงานแต่งงาน โดยเรื่องราวของเรื่องทุกฉากทุกตอนถูกถ่ายทอดและร้อยเรียงผ่านบทเพลงฮิตต่างๆของวง ABBA โดยนักแสดงทุกคนต่างโชว์การร้องเพลงของตัวเองอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะรายของเมอรีล สตรีฟ นั้นถือว่ายอดเยี่ยมมากทั้งร้องทั้งเต้น จนลืมไปเลยว่าเธอนั้นอายุปาเข้าไป 59ปีแล้ว ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับคนที่ตีตั๋วเข้ามาดูsheแกร้องเพลง แต่สำหรับฝ่ายชายนั้นต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นหนัง"หายนะ" ของป๋าเพียร์ซ บรอสแนน เลยก็ว่าได้ เพราะดูเวลาจากที่แกร้องเพลงในหนังแล้วบอกได้คำเดียวว่าหายนะจริงๆ เพราะสีหน้าของเฮียแกเวลาร้องเพลงนั้นดูไร้ซึ่งอารมณ์มาก หน้าตาบูดเบี้ยวไปหมด ซึ่งมันน่าจะดีกว่านี้แต่ก็ช่างเหอะก็น่าจะรู้กันอยู่ว่าอดีตสายลับ เจมส์ บอนด์ ร้องเพลงไม่เป็น 55+ ซึ่งเพียร์ซ บรอสแนน เคยให้สัมภาษณ์ว่าที่เขารับเล่นเรื่องนี้เพราะว่าต้องการลองบทใหม่ ซึ่งก็คงใหม่สมใจเฮียแกไปเลย และเขาเคยบอกไว้ว่าในบรรดาพ่อทั้งสามคนของเรื่องก็ไม่มีใครร้องเพลงได้ ถือว่าเสมอกันหมด เป็นอันว่ามาเริ่มใหม่เหมือนกันและการเข้าห้องอัดถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด! ซึ่งในบรรดาพ่อทั้งสามคนนั้นคนที่ร้องดีสุดนี่คงไม่ต้องบอกว่า ถ้าคนที่ได้ดูแล้วน่าจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าในบรรดฝ่ายชายนั้นร้องดีสุดก็คงจะเป็น คอลิน เฟิร์ธ นี่แหละเพระเฮียแกก็เคยผ่านการร้องเพลงมาบ้างแล้วแต่ก็แค่เพลงเดียวเท่านั้น โดยในเรื่องนี้คอลิน เฟิร์ธ ร้องเพลงเดียวที่เป็นเพลงเต็มๆของตัวเองโดยเพลงนั้นใช้เวลาแค่สามนาทีกว่าๆเท่านั้นเอง แต่เขาบอกว่ากว่าจะร้องเพลงนี้ออกมาได้เขาใช้เวลาอยู่ในห้องอัดถึง 4 วันกันเลยทีเดียวซึ่งเขาพูดไปและก็หัวเราะไป และจะมีฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขาเล่นกีต้าร์บอกเลยว่า เป็นฝีมือ คอลิน เฟิร์ธ เล่นเองร้องเองแน่นอน ส่วนคนอื่นนั้นก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานไม่แย่ไปแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีสำหรับคนที่ไม่ใช่นักร้องอาชีพ และอีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงนั่นก็คือครื่องแต่งกาย ส่วนมากฝ่ายชายจะบ่นกันน่าเพราะว่าพวกเขาต้องใส่ชุด spandex
เพียร์ซ บรอสแนน พูดออกมาว่า "ถ้าผมรู้ว่าต้องใส่ชุด spandex แบบนี้ผมน่าจะเรียกค่าตัวเพิ่ม" ส่วนคอลิน เฟิร์ธ นั้นก็บอกอย่างติดตลกว่า "ผมพยายามจะใส่มันและเอามันกลับบ้านด้วยและเขายังพูดอีกว่าหนึ่งปีของผมกับชุดนี้ ชุดนี้มันรัดมากเวลาผมเต้นผมต้องใช้ร่างกายถึงสองเท่าเลยที่ดียวกว่าจะออกมาอย่างที่เห็น" ถ้าคนที่ดูตอนเครดิตตอนจบก็จะเห็นชุด sapdex เหล่านี้แน่นอนซึ่งดูจากภาพก็น่าจะรัดอยู่55+
และอีกเหตุผลที่นักแสดงหลายคนรับแสดงเรื่องนี้ก็เป็นเพราะโลเคชั่นถ่ายทำสวยมากและนักแสดงชายของเรื่องบอกว่าพวกเขาเบื่อที่จะใส่สูทและอยากแต่งหน้าใส่ชุดสวยๆบ้าง55+ หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากเหมาะสำหรับการพักผ่อน อย่าคาดหวังกับการดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะคุณอาจจะเดาไม่ถูกก็ได้แต่รับรองว่าพอดูจบแล้วคุณจะยิ้มได้อย่างไม่ผิดหวังและไม่รู้สึกถึงคำว่า"ไม่คุ้ม" รอดีวีดีออกเมื่อไหร่เราอาจจะได้เห็นเบื้องหลังที่ฮาๆก็ได้ ตอนนี้ก็รอไปก่อน




สำหรับคนที่ได้ดูแล้วนั้นคงต้องบอกว่า Renee แสดงได้ยอดเยี่ยมสุดๆ แบบว่าหาคนที่จะมาเป็น Bridget คนต่อไปคงลำบากแน่ๆ เธอแสดงได้ทุกบทบาทเหมือนว่าเธอเป็น Bridget เองเลยไม่ว่าจะเป็นบทสาวออฟฟิศ บทเฉิ่มๆ ตลกๆ กวนอารมณ์ บทสาวลอนดอนที่พยายามจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองและบทน่ารักสดใสตามวัยของ บริทเจ็ท ซึ่งทำให้คนดูอย่างเราๆประทับใจในบทบาทของเธอมาก ส่วนในภาค 2 นั้น เธอก็ยังคงความเป็นสาวมั่น (แต่สติแตกประจำ)ไว้ได้ โดยในภาค2นี้จะได้เห็นบริดเจ็ทในบทของสาวขี้หึงซะมากกว่า และคิดไปเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม และถ้าใครได้ดูในภาค 2 นั้น จะเห็นฉากที่เล่นสกี ซึ่งเธอเองก็เล่นเองได้เนียนสุดๆ แบบว่าเล่นสกีถอยหลังเอง (เธอบอกว่า ธรรมดาเธอเล่นสกีกับขี่ม้าเก่งพอตัวเลยหละ) และอีกฉากที่ฮามาก นั่นก็คือฉากที่เธอไปที่บ้านมาร์ค แบบว่าหึงได้ใจจริงๆ ลงทุนมากๆ แต่พอรู้ว่ามาร์คทำงานอยู่ก็เนียนได้หน้าตายมาก ฉากนี้มันทำให้เห็นว่าบริทเจ็ทรักมาร์คมากและไม่อยากเสียมาร์คไป โดยเฉพาะตอนที่บริทเจ็ทขอโทษมาร์คเธอพูดตลอดว่าทำอะไรกับเธอก็ได้ จะว่าจะบ่นยังไงก็ได้แต่อย่าทิ้งเธอเท่านั้นพอ แต่ก็เจอมาร์คสวนกลับว่าเขาไม่โกรธหรอกแต่แค่ผิดหวัง (ทำให้บริทเจ็ทอึ้งไปเลยและเธอก็พูดว่ามันแย่ยิ่งกว่าที่มาร์คจะโกรธอีกนะ) ที่พาคุณกลับบ้านไม่ได้ตอนนี้ตางหาก (หวานมาก) ส่วนในบทของ Hugh นั้นเขาก็แสดงได้แสบจริงๆ เหมาะแล้วกับบทนี้ แสดงกะล่อนได้เนียนมากจนแอบนึกในใจเลยว่า “
ในหนังเรื่องนี้เขาเปิดตัวด้วยการใส่ “เสื้อกันหนาวลายกวางเรนเดียร์"
(ซึ่งเสื้อตัวนี้ได้ถูกนำออกประมูลไปแล้วซึ่งแฟนคลับคนหนึ่งของเขาประมูลไปได้ในราคา??) ซึ่งมันดูแล้วออกจะบื้อๆทึ่มๆ เหมือนที่นางเอกของเรื่องได้พูดไว้จริง ตอนดูแรกๆเหมือนว่าเขาจะเล่นได้แข็งมาก ออกจะนิ่งๆ มีกวนหน่อยๆ ซึ่งมารู้ทีหลังว่านี่แหละคือคาร์แรคเตอร์ของมาร์ค ดาร์ซี คนที่พูดผิดหูคนได้ตลอดเวลา ดูภายนอกเป็นคนที่หยิ่งมาก ไม่น่าจะมีความโรแมนติกในตัว และที่สำคัญทำตัวเหมือนไม่สนใจบริทเจ็ทเลย ซึ่งเขาก็เล่นได้เนียนมากสื่อออกมาได้อย่างชัดเจนทั้งการแสดงออกและอารมณ์ของตัวละคร แต่ถ้าใครไม่รู้ว่าตัวละครนี้มีคาร์แรคเตอร์ยังไงคงจะ










