Sunday, November 30, 2008

MAMMA MIA! 2

หลังจากที่พวกเราๆทั้งหลายได้ดูหนังเรื่องนี้กันไปแล้ว ซึ่งหนังก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น แบบว่าถล่มถลายกันไปเลยทีเดียวเพราะว่ารายรับทั่วโลกนั้นกวาดไปเกือบ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางผู้สร้างหนังเขาจึงคิดกันว่าน่าจะมี ตอนที่ 2 ออกมา (ออกมาเพื่ออะไรก็ไม่รู้) อาจจะเพื่อเอาใจแฟนหนังเพลงก็เป็นได้หรือสำหรับอาจจะเพื่อคนที่ยังไม่หายจากอาการตะลึงในเสียงร้องของเพียร์ซ บอรสแนน ฮ่าๆๆ ซึ่งพอดีว่าได้ผ่านไปอ่านคอลัมหนึ่งซึ่ง เมอรีล สตรีฟ ซึ่งตอนนี้กำลังมีภาพยนตร์ซึ่งคาดว่าหวังออสการ์แน่นอน กำลังออกฉายอยู่นั่นก็คือเรื่อง Doubt (แต่ฉายในวงแคบเฉยๆนะแค่เอาสิทธิ์ชิงออสการ์ปีหน้าเท่านั้น แต่กำหนดฉายแบบเต็มตัวคงเป็นปี 2009) ซึ่งเมอรีล บอกว่า Mamma Mia ภาคต่อเนี๊ยะถ้าเกิดว่ามีขึ้นมาจริงๆ เธอยินดีที่จะร่วมแสดงด้วยแต่มีข้อแม้ว่านักแสดงนำชายต้องเป็นคนเดิมเท่านั้น นั่นก็คือ เพียร์ซ บรอสแนน คอลิน เฟิร์ธ และ สเตนแลน สการ์การ์ด โอ้แม่เจ้า! ถ้าให้เป็นอย่างนี้จริงๆคงสงสารคนเขียนบทน่าดู แต่คิดว่าคนที่ติดตามก็คงอยากจะรู้ว่าถ้าทั้ง 4 คนมาเจอกันอีกในภาคของหนังเรื่องนี้แล้วจะเป็นยังไง คนที่คิดโปรเจคเรื่องนี้ก็สุดยอด นี่ขนาด DVD เพิ่งวางจำหน่ายได้ไม่ถึงเดือน ยังวางแผนถึงภาดต่อซะแล้ว สงสัยว่าคงเป็นโปรเจคที่ 50/50 แน่นอน เพราะว่าอาจจะมีหรืออาจจะไม่ในเวลาเดียวกัน..ฮ่าๆๆ แต่ถ้ามีจริงๆขึ้นมานี่คงต้องชิงออกฉายก่อนที่นักวิจารณ์ฟากอเมริกันจะวิจารณ์คงจะดี เพราะเท่าที่ผ่านมาหนังเรื่องประสบความสำเร็จในทุกประเทศที่ออกฉาย แต่ในอเมริกากลับมีเสียงวิจารณ์เยอะเหลือเกิน..ลองคิดดูสิถ้าไม่ติดเสียงวิจารณ์ในอเมริกา Mamma Mia จะกวาดไปอีกกี่ล้าน...ถึงคราวนั้นแหละ ผู้สร้างคงเขียนบทและจัดคิวนักแสดงกันไม่ทันทีเดียว โดยเฉพาะถ้าได้ชุดเดิมนะ เพราะตอนนี้งานเยอะกันเหลือเกินโดยเฉพาะ คอลิน เฟิร์ธ ที่ตอนนี้กำลังfilming A Single Man อยู่ (หนังน่าจะดี) ส่วนเมอรีล สตรีฟ ก็เตรียมตัวเพื่อชิงออสการ์ แค่นี้ก็ยุ่งหละ ถ้ามีภาคสองคงยุ่งกว่านี้อีกแน่นอน เราก็คงต้องรอดูกันต่อไป

Friday, November 21, 2008

Fever Pitch--Arsenal



For the Guuners, This is a film that the gunners should see! "Fever Pitch" This film base on Nick Hornby's best seller novel. Nick Hornby is a Arsenal fan so, he wrote this novel for the his Arsenallife. The film is about a Arsenal fan "Paul Ashworth" who had watched a Arsenal match with his father in childhood and then he know that "This is his life, Arsenal is the everything" Until he grow up, he still is Arsenal fan and teacher in the same time. But his life isn't easy, his girl friend "Sarah Hughes" she is a teacher in the same school who is don't like to watch a football match but she loves Paul. First time, she thought "Paul justs a hooligan" she try to understand Paul about Arsenal but Paul told her that "Arsenal is his life, he lived with Arsenal and wait for 19 years ago" never had everthing to change Paul from Arsenal. But she can't also to understand Paul, Paul hard to thing about this! he must to choose between "match" or "woman". these one is a love from childhood and still and these one is his lover. Paul Ashworth will choose one or not! You can see this film from DVDs "Fever Pitch" The role Paul Ashworth played by Colin Firth he is a Arsenal fan, he is a gunners! He supports the Arsenal and learn about the Arsenal while he fliming this film.

I am a Arsenal fan too, the gunners are the best team in London and England. When I saw this movie, I realise that is a nice movie for Arsenal fan. In the film, Paul wait for several time to Arsenal's premier league champion he can wait and never change his mind. From this point, I think that everything can wait although it take a long times and do not give up like the Arsenal in this time, sometimes is a loser sometime is a winner but the Arsenal won my soul. Do not give up until heard whistle like Arsenal.

Thursday, November 13, 2008

Girl with a PEARL EARRING

กว่าจะมีโอกาสได้ดูหนังรื่องนี้รอเวลาเกือบตาย อย่างที่บอกไปแล้วย้ำแล้วย้ำอีกว่า "หนังที่ไม่ใช่หนังกระแส" เมืองไทยจะไม่มีฉาย นั่นคือเรื่องจริง! ก็เลยต้องไปหาแผ่นมาดู เกือบแย่อยู่เหมือนกันเพราะว่าภาษาอังกฤษทั้งเรื่องเลย ดีนะที่มีซับอังกฤษ หุหุ ให้อ่านพอเดาได้ GIRL with a PEARL EARRING ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะทำเป็นหนังนั้น มันเคยเป็นหนังสือมาก่อนซึ่งเมืองไทยมีแต่หนังสือครับพี่น้อง! ซึ่งแปลโดยคุณอุ้ม สิริยากร พุกกะเวส ซึ่งเธอให้ชื่อไทยของหนังสือเรื่องนี้ว่า "หญิงสาวกับต่างหูมุก" แต่รับรองว่ถ้าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยมันต้องไม่ใช่ชื่อนี้แน่นอน ฮ่าๆๆมันต้องออกมาแปลกแน่นอน..มั่นใจ เรื่องราวของหนังเรื่องก็เป็นการกล่าวถึงจิตกร ยอดฝีมือทางด้านการวาดภาพที่มีแสงและเงา ชาวดัตส์ นั่นก็คือ Johannes Vermeer or Jan Vermeer กับสาวใช้ชื่อ Griet หนังดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆแบบค่อยๆเป็นค่อยไป โดยเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ดัดแปลงมาจากนิยายอย่างที่บอกไปแล้ว ซึ่งตัวนิยายเรื่องนี้ได้แรงบรรดาลใจจากภาพวาดจริงของ Vermeer เองซึ่งเป็นที่สงสัยกันว่า "ผู้หญิงในภาพนั้นคือใคร" ซึ่งนักวิจารณ์งานศิลป์เขาก็บอกกันว่า ภาพนี้เหมือนกับภาพของโมนาลิซ่า ที่ไม่รู้ว่าใครคือคนในภาพนั้น! บุคคลในภาพนี้ ก็เลยกลายเป็นแรงบรรดาลใจให้ผู้เขียนเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา โดยคิดว่าผู้หญิงในภาพนั้นน่าจะเป็นสาวใช้ในบ้านของVermeer เอง! โดยในเรื่องนี้กล่าวย้อยไปในปี 1665 เมืองเดล์ฟท ประเทศฮอลแลนด์ "กรีท" ก้าวเข้ามาเป็นสาวใช้ในบ้านของ "มาสเตอร์เฟอร์เมียร์" ซึ่งบ้านหลังนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายภาพของจิตกรผู้นี้ เฟอร์เมียร์เป็นจิตกรที่ใช้เวลานานในการทำงานแต่ละชิ้น แต่งานทุกชิ้นของเขานั้นออกมาดีเสมอ ซึ่งจะถูกขายไปให้ มาสเตอร์ ฟาน รุจเวน ซึ่งเป็นพ่อค้าและผู้นิยมภาพเขียน โดนนิสัยส่วนตัวแล้ว มาสเตอร์เฟอร์เมียรืจะใช้เวลาอยู่ในสตูดิโอของเขาทั้งวัน เหมือนเขามีโลกส่วนตัวในนั้น ซึ่งสาเหตุนี้อาจเป็นเพราะครอบครัวและภรรยาของเขานั้นไม่มีใครที่จะเข้าใจศิลปะเลย เขาจึงเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีใครเข้าถึงเขาได้ ยกเว้นสียแต่ว่าเขาจะออกมาเอง จนวันที่กรีท สาวใช้ในบ้านคนใหม่ข้ามาทำงาน กรีทถูกส่งให้เข้าไปทำความสะอาดสตูดิโอของมาสเตอร์ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนั้น กรีทซึ่งชอบในศิลปะอยู่แล้วจึงจัดการได้ เธอชื่นชอบในงานศิลปะและเธอก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ กรีทสามารถรับรู้ถึงสีและแสง ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟอร์เมียร์ต้องการที่จะมีสักคนที่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างมาสเตอร์กับสาวใช้ กรีทเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์เมียร์โดยผ่านทางงานศิลปะ จนนานวันเข้าทำให้ทั้งสองเข้าใจกันมากขึ้นโดยมีศิลปะเป็นตัวกลาง กรีทช่วยมาสเตอร์ของเขาทำงานศิลปะและเธอก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับเฟอร์เมียร์ในการคิดงานใหม่ๆซึ่งแต่ก่อนเขาจะใช้เวลานานมากกว่าจะคิดงานใหม่ๆ ทั้งสองเหมือนเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน เหมือนว่าเฟอร์เมียร์ได้ดึงกรีทเข้าไปอยู่ในโลกของเขาแล้ว! จนมาวันนึงเขาจำเป็นต้องวาดภาพของชาวใช้ผู้นี้ ซึ่งจะทำให้เขาได้เงินจำนวนมากจากมาสเตอร์ฟาน รุจเวน เพื่อนำมาใช้ในครอบครัว เฟอร์เมียร์ตัดสินใจวาดภาพสาวใช้ผู้นี้และเขาก็วาดจนเสร็จ ซึ่งในตอนท้ายของเรื่องทำให้เราได้เห็นว่าเขาไม่มีทางออกมาจากโลกของเขาได้ ส่วนกรีทก็ไม่อาจจะอยู่ในบ้านนี้ได้อีกต่อไปนั่นเป็นเพราะอะไรนั้นต้องลองไปหาดูเองแล้วจะรู้ ฮ่าๆๆ รับรองสนุกแน่..โดยรวมแล้วพวกเสื้อผ้า คอสตูมต่างๆนั้นก็ดูสวยดี ฉากนี่เหมือนจริงมาก ดูแล้วได้บรรยากาศของดัตส์ สมัยปี 1665 จริงๆซึ่งเขาเนรมิตฉากได้เยี่ยมมาก จากการดูเสร็จแล้วนั้นต้องขอชมผู้กำกับ คนเขียนบท คนตัดต่อเลยว่า "เยี่ยมมาก" ซึ่งเขาสามารถทำให้คนดูอย่างเรารูสึกตามหนังได้เลย โดยเฉพาะฉากระหว่างมาสเตอร์เฟอร์เมียร์กับกรีท ซึ่งในหนังตามบทแล้ว"ไม่มีคำพูดสักนิดเลยว่าเขาทั้งสองดูเหมือนจะชอบกันแบบชู้สาว" แต่การแสดงออกในแต่ละฉากเนี๊ยะทำให้คนดูรู้สึกได้เลยว่ามาสเตอร์กับสาวใช้เนี๊ยะต้องคิดอะไรแน่ๆ ในตัวหนังมันมีความ"หวาบหวาม" แฝงอยู่ในทุกๆฉากที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นฉากตอนสอนบดสีให้เป็นผง ฉากที่เฟอร์เมียร์ให้กรีทบอกวีของก้อนเมฆ ฉากที่ทั้งสองนั่งผสมสีอยู่ด้วยกันซึ่งฉากนี้ต้องยอมรับเลยว่ามันสื่อมากๆ (ถ้าดูจากมืองเฟอร์เมียร์นะ มันแสดงว่ามันมีอะไรแอบแฝงมากกว่าสาวใช้กับมาสเตอร์แน่ๆ) และฉากตอนเจาะหูที่เฟอร์เมียร์เป็นคนเจาะให้และกอดกรีท แบบว่ามันมีความหวาบหวามมาก..ซึ่งอาจจะมองจากสายตาก็ได้ เวลาที่เฟร์เมียร์มองกรีท..แอบแฝงแน่นอน..แต่สุดท้ายเขาและเธอก็ต่างมีทางเป็นของตัวเอง หนังเรื่องนี้ต้องขอบอกว่า คอลิน เฟิร์ธ เล่นได้ดูเหมือนว่าเขาเป็นมาสเตอร์เฟอร์เมียร์เองจริงๆเลย คือว่าเขาดูเก็บอารมณ์ได้ดีมาก ไม่แสดงออกให้รู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรและกำลังคิดอะไรอยู่ เขาดูนิ่งมากในบทนี้ แต่ก็มีซีนอารมณ์เหมือนกัน ซึ่งไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับบทบาทของ คอลิน เฟิร์ธ ส่วนในบทของ "กรีท" นั้นรับบทโดย สการ์เลต โจฮันสัน ซึ่งต้องขอชมเลยว่าสรรหาคนได้เหมือนกับคนในภาพจริงมาก ฝ่ายแต่งหน้าแต่งหน้าได้เก่งมากสามารถเนรมิต สการ์เลต ให้เหมือนกับภาพวาดได้ซึ่งดูดีมาก! ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับการรอคอยมาแสนนามกับการที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนของตัวหนังนั้นอยากจะบอกว่าเป็นหนังหวังรางวัลกันเลยทีเดียวซึ่งสามารถเข้าชิงถึง 3 รางวัลออสการ์คือ Cinematography, Art Direction, Costume Design ปี 2003 และยังเข้าชิง 2 ลูกโลกทองคำ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากกับหนังเรื่องนี้..เก่าก็จริง..แต่มันเก๋ามาก

Thursday, November 6, 2008

The Tilme BFI 52nd London Film Festival--Easy Virtue & Genova

เทศกาลฟิมล์ของอังกฤษซึ่งเปิดตัวและปิดตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15-30 ตุลาคม งานนี้จัดที่ Leicester Square โดยในเทศกาลนี้มีหนังของคอลิน เฟิร์ธ ร่วมฉายด้วยถึงสองเรื่องด้วยกัน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A Single Man ที่ Los angeles USA เป็นเวลานาน



โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเฟิร์ธที่ฉายนั้นก็คือ Genova ซึ่งถือเป็นรอบปฐมทัศน์ในลอนดอนด้วยเช่นกัน (London premiere) เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ Odeon west end, Leicester Square โดยงานนี้ คอลิน เฟิร์ธ ควงคู่เดินบนพรมแดงมากับภรรยาของเขานั่นก็คือ ลิเวีย เฟิร์ธ ซึ่งเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากกก Genova เป็นหนังที่ฉายไปแล้วในหลายเทศกาลหนังในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น Toronto Film Festival, San Sebantian Festival ประเทศสเปนและ เทศกาลหนังเมืองเวนิสในอิตาลี ซึ่งที่ San Sebastian นั้นผู้กำกับของเรื่องก็คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปแล้วจากการกำกับหนังเรื่องนี้นี่หละ

โดยหนังเรื่องนี้จะเน้นไปในเรื่องของครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียภรรยาและแม่ไปอย่างกระทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ผู้เป็นพ่อ นั่นก็คือคอลิน เฟิร์ธ ตัดสินใจพาลูกสาวสองคนย้ายจากลอนดอนไปอยู่ที่เมืองจีโน ประเทศอิตาลีแทน และนี่คือที่มาของชื่อหนังเรื่องนี้ Genova เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไงเราก็คงต้องรอลุ้นว่าจะเข้าฉายในเมืองไทยมั๊ย?? แต่เชื่อว่าโอกาสที่คนไทยจะได้ดูนั้นคงประมาณ 5% ฮ่าๆๆ หนังดีดีคนไทยมักจะไม่ได้ดูอยู่แล้วโดยเฉพาะหนังทางฟากอังกฤษยิ่งแล้วใหญ่ พาออกนอกเรื่องไปไกลละ เข้าเรื่องก่อนงานนี้ คอลิน เฟิร์ธ มาในชุดสูทสีเข้มแบบว่าหล่อแบบเป็นทางการกันเลยทีเดียวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าส่วนลิเวียนั้น มาในชุดเดรสสีดำเข้ากันดี ซึ่งลิเวียนั้นยังไม่ทิ้งสไตล์เดิมนั่นก็คือเน้นน่ารัก..เหมาะมากกกกก งานนี้ทั้งคอลินและลิเวียเดินเข้างานมาในใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นกันเองกับทุกคนพร้อมทั้งทักทายแฟนๆและสื่อมวลชนอย่างสนุกสนาน Mr.& Mrs. Firth is so great!! and He looks so hot in this suit.

และหลังจากนั้น 6 วัน 28 ตุลาคม คอลิน เฟิร์ธ ก็ได้มาเปิดตัวภาพยนตร์ของเขาอีกเรื่องในเทศกาลนี้นั่นก็คือ Easy Virtue ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาได้ประกบ เบน บาร์นส เจสสิกา เบลล์ และ คริสติน สกอตส์ โทมัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็น London Premiere เช่นกัน ในงานวันนั้นเขาก็ควงคู่มากับภรรยาสุดที่รักเหมือนเดิม ซึ่งวันนั้นบรรยากาศชุ่มช่ำไปด้วยสายฝนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหวานของคู่นี้ลดลงได้เลย..คอลิน เฟิร์ธ มาในชุดสูทสีดำ โกนหนวดเคราซะเรียบร้อยเชียว หล่อมากก ส่วนลิเวียมาในชุดเดรสเหมือนเดิมแต่คราวนี้มีเสื้อคลุมด้วย พร้อมด้วย necklaceสีขาว สวยมากกเช่นกัน ในงานวันนั้นเหล่านักแสดงมากันพร้อมหน้าเว้นเพียงแต่ คริสทิน สกอตส์ โทมัส เท่านั้นที่ไม่สมารถมาร่วมงานได้ หนังเรื่องนี้จะเข้าฉายใน London วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้แล้ว ซึ่งเป็นที่น่ายินดีสำหรับแฟนเฟิร์ธในอังกฤษจริงๆที่จะได้ดูหนังของเขาแล้ว แต่ในเมืองไทยนี่ยังขอพูดคำเดิมว่า--อีกนานและอาจไม่มีโอกาสเลย--ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวคอมเมดี้ ครอบครัว เคยได้อ่านรีวิวละแต่แปลไม่ค่อยรู้เรื่องซะเท่าไหร่ แบบว่ารู้บ้างไม่รู้บ้างมันก็เลยมึนๆนิดนึง แต่เท่าที่ได้ดูจาก trailer แล้วนั้นหนังเรื่องนี้ไม่น่าผิดหวังแน่นอนสำหรับแฟนเฟิร์ธและคอหนังแนวคอมเมดี้เฉพาะแค่ฉากเต้นรำของเฟิร์ธกับนางเอกของเรื่อง เจสสิกา เบลล์ก็สุดบรรยายแล้ว!! แล้วอย่างนี้จะน่าดูมั๊ยหละ Easy Virtue สิ่งง่ายๆที่น่าชื่นชม ทั้งสองเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ปิดท้ายปีของคอลิน เฟิร์ธ เลยก็ว่าได้ เพราะเรื่องอื่นๆนั้นที่กำลังอยู่ในproduct มีกำหนดออกฉายปีหน้า ซึ่งส่วนมากเป็นกลางและปลายปีหน้าเกือบทั้งหมด--และตอนนี้คอลิน เฟิร์ธ กำลังถ่ายทำบางส่วนของ The Single Man อยู่ที่ LA California
--THANK ! FOR ALL PICS FROM FIRTH SISTER--

Monday, November 3, 2008

Firth in LA

ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่าเฟิร์ธตกลงรับล่นหนังของทอม ฟอร์ดแล้ว เรื่อง A Single Man และที่สำคัญเล่นเป็นเกย์ซะด้วย..เยี่ยมไปเลย ตอนนี้เฟิร์ธเลยเดินทางไป LA ละเพื่อจะได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ จากที่เคยอ่านๆผ่านตามา เหตุผลที่เขารับเล่นเรื่องนี้นั้นก็มีหลายเหตุผลอยู่ไม่ว่าจะเป็น "เขาจะได้ใช้เวลาขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่ออยู่กับลูกชายอีกคนของเขาที่อยู่ที่ LA อยู่แล้วนั่นก็คือวิล เฟิร์ธ" หรือบางคนให้ความเห็นว่า "เขาอยากร่วมงานกับจูเลี่ยน มัวร์ (บางคนก็เขียนจูลีแอน โห๊ะ ช่างเหอะ) ที่ในเรื่องนี้รับบทเป็นเพื่อนสนิทของเขาและนี่คือโอกาส" และบางคนก็ให้ความเห็นว่า "เรื่องนี้เขาอาจจะได้ค่าตัวเยอะ เพราะเขาต้องรับบทเป็นเกย์" แต่ทำไม่ไม่เห็นพวกแหล่งข่าวทั้งหลายออกมาพูดบ้างเนาะว่าที่เขารับเล่นเรื่องนี้เพราะว่า "เขาอยากเป็นเกย์" 555+ ส่วนทางผูกำกับของเรื่อง ทอม ฟอร์ด ดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังและก็ชื่อดังด้วยในวงการแฟชั่น เขาได้ให้เหตุผลว่าที่เลือก คอลิน เฟิร์ธ มารับบทนี้เพราะว่าได้เห็น เฟิร์ธในบทของแฮร์รี่ ใน MAMMA MIA! แล้วเขาบอกตัวเองเลยว่า "นี่แหละคือคนที่ใช่สำหรับหนังของเขา เฟิร์ธเหมาะกับบทนี้มาก" (เห้อ..ไม่อยากจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ไม่เห็นเหมือนเกย์ตรงไหนเลย) ซึ่งหลังจากหนัง MAMMA MIA! ออกฉายเฟิร์ธก็กลายเป็นheart-throb ของพวกเกย์ไปซะและ ซึ่งอายุก็ไม่ใช่น้อยเลยปาเข้าไป 48 และแต่ก็ยังดูหล่อแบบว่าเกย์ยังชอบ ทำไปได้เลยนะป๋าเฟิร์ธ??? เฟิร์ธบอกว่า "หลังจากที่หนัง MAMMA MIA! ฉายแล้วนั้นส่วนมากบทที่ส่งมาถึงผมนั้นเป็น"บทเกย์"ซะส่วนใหญ่" ขนาดนี่แค่เป็นเกย์แค่ท้ายเรื่องนะเนี๊ยะ แบบว่าเพิ่งรู้ตัวตอนแก่ว่าตัวเองเป็นเกย์ ยังมีคนส่งบทมาซะขนาดนั้น แต่ถ้าเรื่อง A Single Man เป็นเกย์ตั้งแต่ต้นเรื่อง แบบว่าเป็นเกย์ทั้งชีวิตก็ว่าได้ แน่นอนว่ามันอาจจะมีฉากเร่าร้อนระหว่างคู่เกย์ ว้าวววว ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะออกมาเป็นยังไง รับรองว่าถ้าเรื่องนี้ออกฉายเมื่อไหร่ไม่เพียงแต่จะมีแค่บทเกย์ที่ติดต่อมาอย่างถล่มถลายเท่านั้นแต่อาจจะมีเกย์มาติดต่อถึงบ้านเลยก็ว่าได้ อู่ว์วว ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการของเฟิร์ธรึป่าวที่ต้องการสร้างฐานแฟนหนังกลุ่มใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยการเปิดโลกที่สาม..แต่ใครจะรู้ถ้าเกิดหนังเรื่องนี้ออกมาดีเฟิร์ธอาจจะมีโอกาสคว้าออสการ์ในบทนักแสดงนำชายที่รับบทเป็นเกย์ก็ได้ เหอๆๆ หรือรางวัลอื่นอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้เถอะไหนๆก็เสี่ยงละแถมแฟน(ภรรยา)ก็ไม่ว่าอีก ดีจริงๆเลยสนับสนุนกันดีจริงๆ คู่นี้นี่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของฮอลลีวูดได้เลยนะเนี๊ยะ! นี่ละน้าที่เฟิร์ธเคยบอกไว้ว่าเขาชอบรับบทแปลกๆใหม่ๆไม่ชอบย่ำอยู่กับบทเดิมๆ แบบว่าชอบลองของและตอนนี้เขาก็ทำแล้วโดยเล่นเป็นเกย์ทั้งแท่ง! ใครจะรู้อีกหน่อยเขาอาจจะรับเล่นบทผู้หญิงก็ได้..ต้องรอดูต่อไป..แต่ถึงจะยังไง..FIRTH IS THE ONE..JUST AS HE IS..