Tuesday, October 28, 2008

MAMMA MIA!


หลายๆคนคงได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันไปแล้ว เพราะเข้าฉายในบ้านเราไปตั้งแต่เดือนสิงหานู้นแล้ว ทั้งๆที่ประเทศอื่นเขาเข้าฉากันตั้งแต่กรกฎา และตอนนี้ก็มีบางประเทศที่หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เปิดตัว แต่ตอนนี้รายรับรวมทั่วโลกก็กวาดไปแล้วกว่า 400 ล้านเหรียญซึ่งถือว่าเป็นหนังทำเงินของค่ายยูนิเวอร์แซลของปีนี้เลยก็ว่าได้ ต้องบอกว่าเป็นหนังเพลงที่กระแสแรงมาก ได้รับการตอบรับจากทั่วโลกเป็นอย่างมากแต่ในบ้านเรากลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะหนังเข้าฉายไปกว่าหนึ่งเดือนแต่กลับทำเงินได้แค่ 10 ล้านต้นๆเท่านั้นเอง อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังกระแสของคนไทยก็เท่านั้น เพราะตังของหนังนั้นดัดแปลงมาจากเพลงฮิตของวง ABBA ซึ่งต้องคนมีอายุหน่อยถึงจะรู้จัก ซึ่งเราก็เพิ่งรู้จักวงนี้จากการดูหนังเรื่องนี้นี่แหละ! วง ABBA เป็นวงป๊อปจากประเทศสวีเดนแต่เขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษและมีเพลงเพงฮิตหลายเพลงมาก เป็นที่โด่งดังในยุโรป คนที่เขียนบทของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงนำเพลงของABBA มาเป็นเมนหลักในการร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกัน โดย Mamma Mia! เป็นละครเวทีมาก่อนและมีคนดูมากที่สุดถึง 30 ล้านคนทั่วโลกและเปิดฉายเป็นจำนวนรอบมากที่สุดในโลกเช่นกัน เดินทางแสดงมาแล้วในหลายประเทศซึ่งถือว่าเป็นละครเวทีที่ประสบความสำเร็จมากก็ว่าได้ (แต่คนไทยก็ไม่เคยได้ดูยกเว้นคนที่มีโอกาสไปดูที่ต่างประเทศ) ก็เลยนำมาสู่การขึ้นจอเงินของหนังเรื่องนี้ โดยผู้อำนวยการสร้างนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลเลย เป็นที่รู้จักของแฟนหนังในประเทศไทยเป็นอย่างดี นั่นก็คือ Tom Hanks นั่นเอง และส่วนตัวผู้กำกับนั้นก็เป็นคนที่กำกับตอนทำละครเวทีนั่นแหละ เธอคือ ฟิลินด้า ลอยด์ ซึ่งเธอคือคนที่เหมาะที่สุดที่จะกำกับหนังเรื่องนี้ ส่วนในเรื่องของเพลงประกอบนั้นคงเดาไม่ยากเพราะเป็นหนังเพลงของ ABBA คนที่ทำเพลงก็ต้องเป็นสมาชิกของวงแน่นอน หนังเรื่องนี้ก่อนอื่นต้องบอกว่ามันหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเพลงของ ABBA ก่อนเพราะดูจากตัวหนังแล้วมันไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจไปกว่านี้แล้ว นอกเสียจากจะเบี่ยงความสนใจไปที่ผู้แสดงหลักในเรื่องซึ่งคับคั่งไปด้วยดาราที่มีฝือมือเยี่ยมทั้งนั้น เมนของหนังเรื่องนี้ก็คืองานแต่งงานที่เจ้าสาวต้องการรู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครกันแน่เพราะแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง แต่เธอดันไปเจอไดอารี่ของแม่ตัวเองเข้า และในนั้นเขียนถึงผู้ชาย 3 คน เธอจึงคิดว่า 1ใน3 คนนี้ต้องมีสักคนที่เป็นพ่อของเธอแน่นอน เธอจึงจัดการเชิญทั้งสามคนมาร่วมงานแต่ของเธอ และเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้น โดยโลเคชั่นของเรื่องนี้เป็นเกาะๆหนึ่งในประเทศกรีซ ซึ่งเป็นที่ที่โซเฟีย(อะแมนด้า)อาศัยอยู่กับแม่ของเธอ (เมอรีล สตรีฟ) แม่ของเธอทำธุรกิจโรงแรมเล็กๆบนเกาะและตอนนี้โซเฟียกำลังจะแต่งงานกับสกาย(โดมินิค คูเปอร์) โซเฟียตัดสินใจเชิญ แซม คาร์ไมเคิล (เพียร์ซ บรอสแนน) แฮร์รี่ ไบร์ท (คอลิน เฟิร์ธ)และ บิล แอนเดอร์สัน (สแตนแลน สตาร์การ์ด) ซึ่งเธอคิดว่าหนึ่งในสามคนนี้ต้องเป็นพ่อของเธอสักคน โดยที่เธอไม่ได้บอกแม่ของเธอเรื่องราววุ่นๆจึงเกิดขึ้นบนเกาะก่อนงานแต่งงาน โดยเรื่องราวของเรื่องทุกฉากทุกตอนถูกถ่ายทอดและร้อยเรียงผ่านบทเพลงฮิตต่างๆของวง ABBA โดยนักแสดงทุกคนต่างโชว์การร้องเพลงของตัวเองอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะรายของเมอรีล สตรีฟ นั้นถือว่ายอดเยี่ยมมากทั้งร้องทั้งเต้น จนลืมไปเลยว่าเธอนั้นอายุปาเข้าไป 59ปีแล้ว ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับคนที่ตีตั๋วเข้ามาดูsheแกร้องเพลง แต่สำหรับฝ่ายชายนั้นต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นหนัง"หายนะ" ของป๋าเพียร์ซ บรอสแนน เลยก็ว่าได้ เพราะดูเวลาจากที่แกร้องเพลงในหนังแล้วบอกได้คำเดียวว่าหายนะจริงๆ เพราะสีหน้าของเฮียแกเวลาร้องเพลงนั้นดูไร้ซึ่งอารมณ์มาก หน้าตาบูดเบี้ยวไปหมด ซึ่งมันน่าจะดีกว่านี้แต่ก็ช่างเหอะก็น่าจะรู้กันอยู่ว่าอดีตสายลับ เจมส์ บอนด์ ร้องเพลงไม่เป็น 55+ ซึ่งเพียร์ซ บรอสแนน เคยให้สัมภาษณ์ว่าที่เขารับเล่นเรื่องนี้เพราะว่าต้องการลองบทใหม่ ซึ่งก็คงใหม่สมใจเฮียแกไปเลย และเขาเคยบอกไว้ว่าในบรรดาพ่อทั้งสามคนของเรื่องก็ไม่มีใครร้องเพลงได้ ถือว่าเสมอกันหมด เป็นอันว่ามาเริ่มใหม่เหมือนกันและการเข้าห้องอัดถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด! ซึ่งในบรรดาพ่อทั้งสามคนนั้นคนที่ร้องดีสุดนี่คงไม่ต้องบอกว่า ถ้าคนที่ได้ดูแล้วน่าจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าในบรรดฝ่ายชายนั้นร้องดีสุดก็คงจะเป็น คอลิน เฟิร์ธ นี่แหละเพระเฮียแกก็เคยผ่านการร้องเพลงมาบ้างแล้วแต่ก็แค่เพลงเดียวเท่านั้น โดยในเรื่องนี้คอลิน เฟิร์ธ ร้องเพลงเดียวที่เป็นเพลงเต็มๆของตัวเองโดยเพลงนั้นใช้เวลาแค่สามนาทีกว่าๆเท่านั้นเอง แต่เขาบอกว่ากว่าจะร้องเพลงนี้ออกมาได้เขาใช้เวลาอยู่ในห้องอัดถึง 4 วันกันเลยทีเดียวซึ่งเขาพูดไปและก็หัวเราะไป และจะมีฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขาเล่นกีต้าร์บอกเลยว่า เป็นฝีมือ คอลิน เฟิร์ธ เล่นเองร้องเองแน่นอน ส่วนคนอื่นนั้นก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานไม่แย่ไปแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีสำหรับคนที่ไม่ใช่นักร้องอาชีพ และอีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงนั่นก็คือครื่องแต่งกาย ส่วนมากฝ่ายชายจะบ่นกันน่าเพราะว่าพวกเขาต้องใส่ชุด spandex เพียร์ซ บรอสแนน พูดออกมาว่า "ถ้าผมรู้ว่าต้องใส่ชุด spandex แบบนี้ผมน่าจะเรียกค่าตัวเพิ่ม" ส่วนคอลิน เฟิร์ธ นั้นก็บอกอย่างติดตลกว่า "ผมพยายามจะใส่มันและเอามันกลับบ้านด้วยและเขายังพูดอีกว่าหนึ่งปีของผมกับชุดนี้ ชุดนี้มันรัดมากเวลาผมเต้นผมต้องใช้ร่างกายถึงสองเท่าเลยที่ดียวกว่าจะออกมาอย่างที่เห็น" ถ้าคนที่ดูตอนเครดิตตอนจบก็จะเห็นชุด sapdex เหล่านี้แน่นอนซึ่งดูจากภาพก็น่าจะรัดอยู่55+ และอีกเหตุผลที่นักแสดงหลายคนรับแสดงเรื่องนี้ก็เป็นเพราะโลเคชั่นถ่ายทำสวยมากและนักแสดงชายของเรื่องบอกว่าพวกเขาเบื่อที่จะใส่สูทและอยากแต่งหน้าใส่ชุดสวยๆบ้าง55+ หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากเหมาะสำหรับการพักผ่อน อย่าคาดหวังกับการดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะคุณอาจจะเดาไม่ถูกก็ได้แต่รับรองว่าพอดูจบแล้วคุณจะยิ้มได้อย่างไม่ผิดหวังและไม่รู้สึกถึงคำว่า"ไม่คุ้ม" รอดีวีดีออกเมื่อไหร่เราอาจจะได้เห็นเบื้องหลังที่ฮาๆก็ได้ ตอนนี้ก็รอไปก่อน

Monday, October 20, 2008

And When Did You Last See Your Father?






พอดีว่ามีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง And when did you last see your father? คงไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทยกันแล้ว เพราะมันออกจะชัดขนาดนั้น หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่คงไม่มีโอกาสเข้าฉายในบ้านเราแน่นอน (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) โดยเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อกับลูกชายซึ่งในบทของพ่อนั้นแสดงโดย จิม บอร์ดเบนท์ ( Jim Broadbent) ส่วนในบทของลูกชาย เบลค ตอนโตนั้นรับบทโดย คอลิน เฟิร์ธ ( Colin Firth) โดยการเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดความทรงจำในสมัยช่วงวัยรุ่นและวัยเด็กของลูกชายโดยในความทรงจำเหล่านั้นล้วนมีพ่อเข้ามาเกี่ยวด้วย ในเรื่องนี้ผู้ที่รับเป็น เบลค มอร์ริสัน ในช่วงวัยรุ่นก็คือ แมทธิว เบรด ( Matthew Beard) เมื่อเขารู้ว่าพ่อของเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและเหลือเวลาอีกไม่นานที่จะอยู่บนโลกใบนี้ เบลคจึงตัดสินใจที่จะกลับไปอยู่กับพ่อเป็นครั้งสุดท้ายและนี่คือจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ ในเรื่องนี้พ่อของเขา อาร์เธอร์ มีอาชีพเป็นหมอ ส่วนเขา เบลค เป็นนักเขียน โดยในช่วงวัยเด็กเบลคอยู่กับพ่อตลอด แต่ดูเหมือนว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้บางครั้งดูเหมือน เบลคและพ่อจะไม่ค่อยเข้าใจกันสักเท่าไหร่ เบลคสงสัยในตัวของพ่อของเขาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวแต่เขาก็ไม่เคยถาม เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อทำให้เขานั้นเขาสามารถรับรู้ได้ว่าพ่อรักเขาแต่ไม่ค่อยได้แสดงออก พ่อสอนเขาในทุกๆเรื่องแม้บางครั้งเบลคจะคิดว่ามันงี่เง่าก็ตาม จนเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พ่อก็ยังเป็นห่วงเขาเหมือนเดิมและชอบทำอะไรที่เบลคคิดว่างี่เง่าเสมอ แต่มันก็คือความสุขของคนเป็นพ่อและเบลคก็เข้าใจ เพราะว่าเขาผูกพันกับพ่อมาก จนอาการป่วยของพ่อทรุดหนักลงเบลคคอยดูแลพ่อตลอดและนึกย้อยถึงวันเวลาเก่าๆที่เขากับพ่อมีความสุขร่วมกัน มันเล่าถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆระหว่างพ่อกับลูกชาย ทำให้เบลคนึกถึงสิ่งที่พ่อเคยสอนเขา นึกถึงอดีตในช่วงที่เขาทั้งสุขและทุกข์โดยมีพ่ออยู่ในนั้นเสมอ เบลคเคยมีคำถามที่จะถามพ่อของเขาตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่แต่พ่อไม่ได้ตอบเขา แต่เบลคก็มารู้ตอนหลังคำตอบนั้นก็คือ เบลคเป็นเหมือนโลกทั้งใบของพ่อเขา พ่อรักเบลคมากกว่าสิ่งใดในโลก บอกได้คำเดียวเลยว่า น่าเสียดายมากที่คนไทยไม่มีโอกาสที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ ถ้าจะดูก็ต้องดีวีดีของต่างประเทศ เป็นหนังที่สื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายได้ถึงจุดเลย หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่ 3 ในชีวิตที่ดูแล้วร้องไห้โดยไม่ต้องคิด ทั้งๆที่เป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ แปลไม่ค่อยออกสักเท่าไหร่แต่อารมณ์ของหนังมันถึงขั้นจริงๆ ดูแล้วเราสามารถรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูกคนนึงได้เลย จิม บอร์ดเบนท์ เล่นได้เยี่ยมในบทที่พยายามจะสอนและให้สิ่งต่างๆกับลูกชาย ส่วนในบทเบลคตอนวัยรุ่น แมทธิว เบรด เล่นได้อย่างไม่มีข้อกังขาเลยสักนิด เขาสื่อถึงเบลคในช่วงวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี ทำให้เราเห็นภาพของพ่อที่ใช้ชีวิตส่วนมากอยู่กับลูกชายที่เป็นวัยรุ่นและต้องการให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ส่วน คอลิน เฟิร์ธ นั้นส่วนมากในเรื่องนี้จะเห็นในซีนอารมณ์ซะเป็นส่วนใหญ่ จะเห็นได้ว่าเบลคตอนโตนั้นก็ไม่ต่างไปจากช่วงวัยรุ่นเลยเขายังคงเป็นเด็กใยสายตาของพ่อเสมอและเขาพยายามจะกลับไปหาสิ่งเดิมๆในอดีต โดยเฉพาะซีนสุดท้ายของเรื่อง เขาเล่นได้เยี่ยมมาก! ดูซีนนี้แล้วอยากกลับไปหาพ่อเลยเพราะกลัวว่ามันจะไม่มีโอกาสและอาจจะสายเกินไป อยากให้ได้ดูกันสำหรับเรื่องนี้ And When Did You Last See Your Father? เป็นหนังที่คิดว่าคุ้มค่ามาก บางคนก็อาจจะบอกว่าไม่ดีก็แล้วแต่คนจะคิดแต่สำหรับเราแล้วเป็นหนังที่อาจจะไม่ใช่หนังกระแสของบ้านเราแต่คิดว่าทุกคนคงมีพ่อ นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าดู! คอลิน เฟิร์ธ ผู้แสดงหลักของเรื่องเคยให้สัมภาษณ์ว่า นานๆทีจะมีหนังอย่างนี้ออกมาสักเรื่อง มันเป็นสิ่งที่ดีมากที่เราได้ถ่ายทอดความรักความผูกพันและเรื่องราวในครอบครัวระหว่างพ่อกับลูกชาย เพราะความรักไม่ได้มีเฉพาะคู่หนุ่มสาวเท่านั้น ซึ่งในตัวของหนังเรื่องนี้ได้ถูกสร้างจากนิยายขายดีของ Blake Morrison ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นงานเขียนที่เขาเล่าถึงชีวิตของเขาเองแน่นอน.

หนังเรื่องนี้เข้าฉายตั้งแต่ปี 2007 เป็นของค่าย Sony Classic ส่วนดีวีดีจะวางในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2008 (นี่ดูใน www.amazon.com มา) ไปหามาดูซะไม่รู้เมืองไทยจะวางจำหน่ายรึป่าว? แล้วคุณจะรู้ว่าพ่อรักคุณขนาดไหน!

Saturday, October 18, 2008

BRIDGET JONES


สำหรับคนที่ได้ดูแล้วนั้นคงต้องบอกว่า Renee แสดงได้ยอดเยี่ยมสุดๆ แบบว่าหาคนที่จะมาเป็น Bridget คนต่อไปคงลำบากแน่ๆ เธอแสดงได้ทุกบทบาทเหมือนว่าเธอเป็น Bridget เองเลยไม่ว่าจะเป็นบทสาวออฟฟิศ บทเฉิ่มๆ ตลกๆ กวนอารมณ์ บทสาวลอนดอนที่พยายามจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองและบทน่ารักสดใสตามวัยของ บริทเจ็ท ซึ่งทำให้คนดูอย่างเราๆประทับใจในบทบาทของเธอมาก ส่วนในภาค 2 นั้น เธอก็ยังคงความเป็นสาวมั่น (แต่สติแตกประจำ)ไว้ได้ โดยในภาค2นี้จะได้เห็นบริดเจ็ทในบทของสาวขี้หึงซะมากกว่า และคิดไปเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม และถ้าใครได้ดูในภาค 2 นั้น จะเห็นฉากที่เล่นสกี ซึ่งเธอเองก็เล่นเองได้เนียนสุดๆ แบบว่าเล่นสกีถอยหลังเอง (เธอบอกว่า ธรรมดาเธอเล่นสกีกับขี่ม้าเก่งพอตัวเลยหละ) และอีกฉากที่ฮามาก นั่นก็คือฉากที่เธอไปที่บ้านมาร์ค แบบว่าหึงได้ใจจริงๆ ลงทุนมากๆ แต่พอรู้ว่ามาร์คทำงานอยู่ก็เนียนได้หน้าตายมาก ฉากนี้มันทำให้เห็นว่าบริทเจ็ทรักมาร์คมากและไม่อยากเสียมาร์คไป โดยเฉพาะตอนที่บริทเจ็ทขอโทษมาร์คเธอพูดตลอดว่าทำอะไรกับเธอก็ได้ จะว่าจะบ่นยังไงก็ได้แต่อย่าทิ้งเธอเท่านั้นพอ แต่ก็เจอมาร์คสวนกลับว่าเขาไม่โกรธหรอกแต่แค่ผิดหวัง (ทำให้บริทเจ็ทอึ้งไปเลยและเธอก็พูดว่ามันแย่ยิ่งกว่าที่มาร์คจะโกรธอีกนะ) ที่พาคุณกลับบ้านไม่ได้ตอนนี้ตางหาก (หวานมาก) ส่วนในบทของ Hugh นั้นเขาก็แสดงได้แสบจริงๆ เหมาะแล้วกับบทนี้ แสดงกะล่อนได้เนียนมากจนแอบนึกในใจเลยว่า “สงสัยตอนที่ Helen คิดคาร์แรคเตอร์ของ Daniel ขึ้นมานั้นคงจินตนาการเป็นหน้าของ Hugh Grant แน่ๆ” สำหรับบทบาทของเขาในหนังเรื่องนี้เหมือนกับเป็นตัวสร้างสีสันให้กับเรื่อง เพราะเขาเป็นตัวจุดฉนวนเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ไปแย่งเมียเพื่อนแล้วโกหกแฟนตัวเอง ถ้าไม่มีบทของเขาในเรื่องก็คงไม่มีมาร์ค ดาร์ซี เพราะว่าป่านนั้นมาร์คคงจะอยู่กับเมียญี่ปุ่นของเขา 55+ คงไม่ได้เจอบริดเจ็ท โจนส์แน่นอน สำหรับในภาค2 ของ Huhg นั้นถ้าเป็นในแบบฉบับหนังสือนั้นแทบไม่มีบทบาทเลยแต่ในหนังเขาก็กลับมาอีกครั้งในบทเดิม ซึ่งก็เล่นได้เหมือนเดิมแป๊ะเลย คือเนียนมาก โกหกหน้าตายสุดๆ โดยทั้ง 2 ภาคของเขานั้นต้องมีเรื่องทะเลาะกับมาร์คทั้ง 2 ภาคเลย ( Colin พูดว่า เขากับ Grant จะเจอกันเฉพาะฉากชกต่อยกันเท่านั้นเวลาถ่ายทำ ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องปกติของหนังเรื่องนี้ไปแล้วที่ Mark จะต้องมีเรื่องกับ Daniel ซึ่งถ้ามี Bridget Jones ต่อไปอีก 10 ภาคก็คงจะต่อยกันไปอีก 10 ภาคนั่นแหละ) และคนนี้คงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นใคร เขาก็คือ Mark Darcy นี่เอง ผู้ที่มารับบทนี้ก็จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจาก Mr. Darcy Colin Firth ในหนังเรื่องนี้เขาเปิดตัวด้วยการใส่ “เสื้อกันหนาวลายกวางเรนเดียร์" (ซึ่งเสื้อตัวนี้ได้ถูกนำออกประมูลไปแล้วซึ่งแฟนคลับคนหนึ่งของเขาประมูลไปได้ในราคา??) ซึ่งมันดูแล้วออกจะบื้อๆทึ่มๆ เหมือนที่นางเอกของเรื่องได้พูดไว้จริง ตอนดูแรกๆเหมือนว่าเขาจะเล่นได้แข็งมาก ออกจะนิ่งๆ มีกวนหน่อยๆ ซึ่งมารู้ทีหลังว่านี่แหละคือคาร์แรคเตอร์ของมาร์ค ดาร์ซี คนที่พูดผิดหูคนได้ตลอดเวลา ดูภายนอกเป็นคนที่หยิ่งมาก ไม่น่าจะมีความโรแมนติกในตัว และที่สำคัญทำตัวเหมือนไม่สนใจบริทเจ็ทเลย ซึ่งเขาก็เล่นได้เนียนมากสื่อออกมาได้อย่างชัดเจนทั้งการแสดงออกและอารมณ์ของตัวละคร แต่ถ้าใครไม่รู้ว่าตัวละครนี้มีคาร์แรคเตอร์ยังไงคงจะบอกได้คำเดียวว่าเขาเล่นได้ห่วยมาก ไร้อารมณ์สุดๆ แต่นี่แหละคือมาร์ค ดาร์ซี ผู้ที่แสดงออกไม่เป็นแม้แต่การบอกรักยังไม่กล้าที่จะพูดออกมา ถ้าคนที่ได้ดูภาคแรกจะอึ้งตอนที่มาร์คบอกรักบริทเจ็ทมาก เพราะมันเป็นอะไรที่โรแมนติคสุดๆ เขาเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่งไม่กล้าที่จะพูดแสดงความรู้สึกแต่เวลาพูดที ก็มักจะพูดอย่างที่เขาคิดพูดออกมาตรงๆว่ารู้สึกอย่างไร พอจบฉากนี้คาร์แรคเตอร์ของมาร์คก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น สังเกตได้จากฉากที่อยู่ในครัวกับบริทเจ็ท มาร์คแสดงให้เห็นว่าเขาป็นผู้ชายที่แสนดีมาก อ่อนหวานและเอาใจบริทเจ็ท และพูดจาหยอกล้อกับเรื่องของเขาและบริทเจ็ทได้อย่างน่ารักมากก ซึ่ง Colin ก็เล่นฉากพวกนี้ได้ดีมากดูเป็นธรรมชาติสุดๆเหมือนว่าเขานี่แหละคือมาร์ค ดาร์ซีที่โผล่มาจากนิยาย โดยเฉพาะการแสดงออกทางสีหน้าและแววตา (เห็นแล้วแถบหลอมละลายกันไปเลย) พอมาดูต่อที่ภาค 2 คราวนี้เราจะได้เห็นนิสัยแท้ๆของ มาร์ค ดาร์ซี ซึ่งเขาเป็นผู้ชายที่แสนดีจริงๆ อดทนอดกลั้นต่อความหึงหวงของบริทเจ็ทและรักบริทเจ็ทอย่างแท้จริง โดยไม่คิดถึงรูปร่างภายนอก ซึ่งเราจะเห็น Colin แสดงในบทที่ผ่อนคลายกว่าภาคแรก เห็นเขายิ้มบ่อยกว่าภาคแรกแต่โรแมนติคเหมือนเดิม มีประโยคหวานๆพูดกับบริทเจ็ทตลอด ซึ่งเขาก็เล่นได้หวานมาก โดยรวมแล้วถ้าให้คนอื่นมาเล่นหนังเรื่องนี้คงไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน โดยเฉพาะบท มาร์ค ดาร์ซี ผู้ซึ่งรักบริทเจ็ท อย่างที่บริทเจ็ทเป็น และไม่บ้างาน ไม่ขี้เอา ไม่ขี้เหล้า แสนดีและเก่งเรื่องบนเตียงอีกด้วย absolutely perfect!
และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้อย่างยิ่งยวดก็คือ “กองบัญชาการสงครามการเดท” หรือที่มาร์คเรียกว่า “กองบัญชาการในสนามคนโง่” 55+ นั่นก็คือผองเพื่อนของบริทเจ็ทนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างสีสันและทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูมากขึ้น เพราะมันเป็นธรรามชาติอยู่แล้วที่ผู้หญิงทุกคนมักจะต้องมีสังคมและคนที่คอยรับฟังปัญหาต่างๆนาๆ ถ้าในเรื่องนี้บริทเจ็ทไม่มีกลุ่มเพื่อนนั่นก็อาจจะทำให้ตัวละครของบริทเจ็ทนั้นดูจะไม่สมจริงม้ากกกมาก เพื่อนของบริทเจ็ทแต่ละคนนั้นก็ต้องยอมรับเลยว่าแสบกันสุดๆเหมาะแล้วที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้พอเห็นกลุ่มเพื่อนของบริทเจ็ทแล้วอาจจะนึกถึงเพื่อนตัวเองเลยก็ได้ เพราะว่ามันใช่เลย นี่แหละเพื่อนเลยหละ หนังเรื่องนี้มันสื่อได้หลายประเด็นมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนรัก เรื่องเพื่อน เรื่องการใช้ชีวิตในสังคม มากมาย ซึ่งทุกสิ่งอย่างมันเป็นเรื่องจริงของผู้หญิงในสังคมของทุกประเทศ ซึ่งถ้าใครได้อ่านหนังสือเรื่องนี้แล้ว บอกได้เลยมันยิ่งกว่าที่เราเห็นกันในหนังอีก! สุดยอดกว่าเยอะ แต่หนังก็ทำออกมาได้ประทับใจเช่นกัน ยังเหมือนบริทเจ็ทที่เราจินตการไว้อยู่ ไม่ค่อยผิดเพี้ยนสักเท่าไหร่ ถือว่าไม่ผิดหวัง แต่สำหรับในหนังนั้นมันก็มีสิ่งที่ดีกว่าในหนังสืออยู่บ้าง นั่นก็เพลงประกอบหรือซาวด์แทร็คนี่แหละ มันช่วยเสริมให้หนังดูดีขึ้นเยอะ โดยเฉพาะเพลง Someone like you นี่แบบว่าเข้ากับหนังแป๊ะ! แล้วก็อีกเพลงที่ดังมาจากหนังเรื่องนี้ หลายๆคนน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วนั่นก็คือ Out of reach โอ้แม่เจ้า! มันเป็นเพลงที่เราคุ้นหูกันมากๆ มันมาจากหนังเรื่องนี้แหละ ต้องยอมรับเลยว่าซาวด์แทร็คเรื่องนี้นี่สุดยอดจริงๆ เพราะเกือบทุกเพลง ถือว่าไม่หลุดมาตราฐานของหนังอังกฤษที่ส่วนมากเพลงประกอบจะเพราะๆทั้งนั้นโดยเฉพาะหนังรักโรแมนติค....

Before Bridget Jones's Diary




อย่างที่บอกไปแล้วว่าหลักจากที่ได้ดู Bridget Jones’s Diary แล้วนั้นก็รู้เลยว่าเราคงต้องติดตามผลงานของคอลิน เฟิร์ธแน่ๆ เพราะเฮียแกเล่นได้สุดยอดจริงๆ พอดูแล้วเราสามารถซึมซับความเป็น “มาร์ค ดาร์ซี” ได้อย่างไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆมาเพิ่ม เฮียแกเล่นได้เพอร์เฟคซะแบบหาตัวจับยากกันเลยทีเดียว (ไม่รู้ว่าชมมากไปรึป่าว?) คราวนี้ก็เลยจะขอเขียนถึงหนังเรื่องนี้อย่างจริงจังซะที เพราะอย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็คือจุดเริ่มต้นสำหรับเราในการหันมาดูหนังของเฟิร์ธ
Bridget Jones’s Diary เป็นหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ Helen Fielding ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ที่เธอเป็นคอลัมนิสต์อยู่และตอนหลังการตอบรับดีจึงมีการรวมเล่ม ซึ่งตัวละครหลักใน Bridget Jones’s Diary นั้นได้รับแรงบันดาลใจมากนิยายของนักเขียนชื่อดัง Jane Austin เรื่อง Pride & Prejudice นั่นก็คือ Mr. Darcy ซึ่งเธอได้แปลงมาเป็น Mark Darcy ซึ่งในตอนที่บีบีซีได้นำมินิซีรีย์เรื่อง Pride & Prejudice มาฉายนั้น Colin Firth รับบทเป็น Mr. Darcy (บทนี้ทำให้เขาโด่งดังมาก) และนี่จึงกลายเป็นแรงผลักดันของผู้เขียนที่จินตนาการให้ Mark Darcy ของเขานั้นมีส่วนคล้าย Mr. Darcy และ Colin Firth (ซึ่งดูแล้วว่าเหมือน Helen นั้นจะชอบ Colin เป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ ถ้าดูจากในหนังสือที่เขาตั้งชื่อพ่อของนางเอกว่า Colin) และส่วนในบทของ Hugh Grant นั้นก็มีส่วนคล้ายกับใน Pride & Prejudice เหมือนกันก็คือในบทของ Mr. Wickham ซึ่งถ้าใครเลยได้ดูมินิซีรีย์เรื่องนี้แล้วจะรู้เลยว่าใช่! เพราะว่าคาร์แรคเตอร์ของ2คนนี้ใน Bridget Jones’s Diary จะคล้ายคาร์แรคเตอร์ใน Pride & Prejudice แต่สำหรับคาร์แรคเตอร์ของ Bridget นั้นผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นถึงชีวิตของสาวโสดคนนึงในลอนดอนและกระแสวัฒนธรรมต่างๆในสังคมอังกฤษ โดยที่ไม่ได้หมายถึงใครเป็นการเจาะจงซึ่ง Bridget Jones คือตัวละครที่สร้างขึ้นมา (Helen มักโดนถามบ่อยๆว่าใครคือ Bridget ตัวจริงและเธอคือ Bridget เองรึป่าว? ซึ่งเธอก็ตอบไปว่า เธอไม่ใช่ Bridget) พอ Helen รู้ว่านิยายของเธอจะถูกนำไปสร้างเป็นหนัง เธอบอกกับโปรดิวเซอร์เลยว่า คนที่จะมารับบทเป็น “Mark Darcy” นั้นต้องเป็น “Colin Firth” เท่านั้นไม่งั้นเธอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ไปทำเป็นภาพยนตร์ (เธอพูดอย่างนั้นจริงๆนะแต่ก็แบบทีเล่นทีจริง) โปรดิวเซอร์ก็เลยตัดสินใจเอาตัว Mr. Darcy ตัวจริง (นั่นก็คือ Colin Firth) มาเล่นจริงๆซะเลย โดยทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่าบทของ Mark Darcy นี้เหมาะกับ Colin Firth ที่สุด! ส่วนในบทของไอ้แสบ จอมกระล่อน Daniel Cleaver นั้น Helen บอกเลยว่าคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือ Hugh Grant (แม้หลายคนอาจจะมองว่าเขาไม่เหมาะกับบทนี้ แต่ Helen ยืนยันเลยว่า Hugh นี่แหละไอ้แสบตัวจริง!) ซึ่งเมื่อดูจากชื่อของนักแสดงชายทั้งสองคนนี้ ถ้าใครเคยอ่านฉบับที่เป็นหนังสือจะรู้ว่าในหนังสือนั้นมีชื่อของทั้ง Firth และ Grant ปรากฏอยู่ในDiary ของบริทเจ็ทด้วย สำหรับ Colin Firth นั้นกว่าจะเป็น Mark Dacry แบบเพอร์เฟคได้เขาต้องลดน้ำหนักตัวเองเพื่อความดูดีก่อนที่จะเล่นเรื่องนี้ด้วย (ไม่งั้นสงสัยว่ามาร์คอาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆได้ เพราะในหนังสือของ Helen นั้นมาร์คเป็น 50 หนุ่มโสดในฝันของลอนดอนเลยนะ! แบบว่าเพอร์เฟคมากกก) พอพูดถึงแสดงนำฝ่ายชายไปแล้วว่ามีที่มาอย่างไร ถ้าไม่พูดถึงนำหญิงของเรื่องนี่คงแปลกมากก เพราะเธอคือ Bridget Jones นี่เองซึ่งรับบทโดยนักแสดงสาวชาวอเมริกัน Renee Zellweger ซึ่งกว่าเธอจะมาเป็น Bridget ได้นั้นเธอต้องทำการบ้านอย่างมาก เธอลงทุนย้ายมาอยู่ที่ลอนดอนเพื่อเตรียมถ่ายทำหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ และที่สำคัญไปกว่านั้นเธอยังต้องเตรียมตัวเป็น Bridget Jones ในบทบาทของสาวออฟฟิศที่ต้องคล่องแคล่วว่องไง และเป็นสาวอังกฤษอย่างเต็มตัว โดยการที่เธอถูกส่งให้ไปทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์ในอังกฤษเพื่อสร้างความเคยชินกับบทของสาวออฟฟิศและเพื่อฝึกสำเนียงอังกฤษ เป็นเวลาประมาณ1เดือนก่อนการถ่ายทำ (ทุ่มทุนมาก) ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจนน่าตกใจ โดยเฉพาะสำเนียงการพูดของเธอซึ่งคล้ายมากจนอิวจ์ แกรนท์ประหลาดใจหลักจากที่ได้ยินเธอพูดสำเนียงอเมริกันตอนปาร์ตี้วันปิดกล้อง! และสิ่งสำคัญที่สุดที่เธอของทำเพื่อความเป็น Bridget Jones อย่างสมบูรณ์แบบนั่นก็คือ เธอต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองถึง 25 ปอนด์ หรือราวๆ 12 กิโลกรัม ซึ่งเธอก็สามารถทำได้และออกมาอย่างที่เราเห็นกัน (การเพิ่มน้ำหนักของ Renee นั้น เธอเคยพูดไว้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เธอรู้สึกว่าสบายสุดๆ เพราะว่าเธอได้กินอยู่ตลอดเวลาเพราะกองถ่ายพยายามหาของกินมาให้เธอเพื่อเพิ่มน้ำหนักและที่สำคัญยังได้เงินอีก! ส่วน Colin พูดว่าเวลาพักทุกคนจะกินอาหารกันธรรมดาแต่ของ Renee นี่จะได้กินมากกว่าคนอื่นประจำจนทำให้ผมรู้สึกอิจฉา 55+)

Friday, October 17, 2008

The Beginning Firthaholic



"และจากจุดนั้นเองคือจุดเริ่มต้น"...นี่คือประโยคเปิดเรื่องของหนังรัก ตลกและแสบสันต์อย่าง Bridget Jones's Diary...ความตั้งใจในตอนแรก อย่างที่เคยบอกไว้ว่า "ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยว่าใครคือ คอลิน เฟิร์ธ" และไม่เคยคิดที่จะหยิบหนังเรื่องนี้มาดูด้วยซ้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากดู แต่ที่แน่ๆคือไม่มีแรงจูงใจให้ดูเลย แบบว่าไม่มีอะไรน่าสนใจเลยและตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า Bridget Jones เป็นใคร เคยแต่ได้ยินเฉยๆไม่รู้จักก็เท่านั้น! จนมาวันนึง ด้วยความผิดพลาดที่เกิดจากการจำชื่อสับสนระหว่าง Princess Diary กับ Bridget Jones's Diary ทั้งๆที่มันไม่คลายกันเลยสักนิด เรื่องจริงแล้วต้องการจะดูเรื่อง Princess Diary แต่ไปที่ร้านเช่าดันไปหยิบ Bridget Jones มาแทนและเช่ามาทั้ง 2 ภาคเลยกะว่างานนี้คงจะเอาไปใช้ในวิชา English for communication ได้ไม่ต้องไปอ่านหนังสือให้เสียเวลา ดูเป็นหนังเลยดีกว่า! กว่าจะรู้ตัวว่าหยิบเรื่องผิดก็ถลำลึกเกินกว่าจะถอนตัว ฮ่าๆๆ ครั้งแรกที่เปิดดูหนังเรื่องนี้บอกตรงๆว่าเดาไม่ถูกเลยว่าเรื่องมันจะเป็น ยังไง มันจะเป็นหนังรักแบบน่ารักๆหรือว่าหนังตลกแบบฮาๆกันแน่ เพราะมันสับไปสับมาระหว่าง2าร์แรกเตอร์นี้ของนางเอกของเรื่อง แบบว่าเป็นผู้หญิงที่แสบสันต์มากกกกกกกกกกกกก แต่ถ้าจะน่ารักก็น่ารักสุดๆและเปิ่นได้สุดๆเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะมีผู้หญิงแบบนี้รึป่าว? ตอนที่ดูอยู่นั้นในใจคิดว่าหนังเรื่องนี้คงไม่มีอะไรทำให้เราสะดุดได้แน่นอน เพราะโดยปกติแล้วยอมรับเลยว่ เราเป็นคนที่เลือกดูหนังจากนักแสดงนำเท่านั้น! และเรื่องนี้ใครแสดงก็ไม่รู้ รู้จักแต่ ฮิวจ์ แกรนท์ คนเดียว! ขนาดนางเอกขื่ออะไรนี่ยังไม่รู้เลย ส่วนคอลิน ก็เพิ่งรู้จักจากการดู Love Actually เหอๆๆ เยี่ยมเลย! ก็เลยนั่งจ้องมันที่เนื้อหาของเรื่อง...เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวอังกฤษคนนึง ที่กำลังจะขึ้นคาน แบบว่าโค้งสุดท้ายแล้ว ซึ่งเธอเป็นแบบประเภทพวกสาวทำงาน ปาร์ตี้อยู่ตลอดเวลาและพยายามจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองเสมอๆ (แต่ก็มักจะสติแตกประจำ!) เธอกำลังมองหาสิ่งที่พิเศษให้กับชีวิตนั่นก็คือแฟนดีดีสักคน เพราะทุกครั้งที่เธอไปไหนมาไหนก็มักจะโดนทำร้ายด้วยคำพูดเกี่ยวกับการถามเรื่องแฟนของเธอเสมอๆ เพราะเธอเป็นสาวโสดอายุ30กว่าๆ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องทีเธอโกรธมาก 55+ และแล้วเธอก็พบกับหนุ่มในฝันซึ่งก็คือเจ้านายของเธอเอง แดเนียล คลีฟเวอร์ คงไม่ต้องเล่าอะไรมากสำหรับคนที่เคยดูแล้ว และแล้วไม่นานนัก เขาคนนี้ก็กลายเป็นหนุ่มในฝันร้าย ของบริดเจ็ท ไปซะนี่ และแล้วจุดพีคสุดๆของเรื่องก็มาถึง นี่แหละคือจุดที่ทำให้เราสะดุด แบบว่าล้มหัวฟาดพื้นกันเลยที่เดียว ตอนที่บริดเจ็ทต้องไปกินมื้อค่ำกับคู่แต่งงานใจแคบหลายคู่ๆ55+ และกำลังจะกลับ ซึ่งมาร์ค ดาร์ซี ก็มาด้วยแต่เขาไม่ได้มากับบริดเจ็ทหรอกนะ และในความเป็นจริง มาร์ค ก็ไม่ใช่คู่แต่งงานใจแคบ เพราะเพิ่งโดนเมียทิ้งไป55+ มาร์คเดินตามบริดเจ็ทลงมาและพูดสิ่งที่เขารู้สึกทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเธอ และบอกเธอว่า “I like you very much, just as you are” “ผมชอบคุณมาก อย่างที่คุณเป็น สุดยอดดดประโยคนี้หละทำให้เราชะงักเลยทีเดียวแบบว่าถ้าใครที่ได้ดูตอนนี้และดูที่สายตาที่มาร์คมองบริดเจ็ท จะรู้ว่ามันสุดยอดดด โรแมนติกและจริงใจสุดๆ แม้ว่าเรื่องนี้คอลินจะเล่นออกแนวทื่อๆก็ตาม ดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ถ้าดูจากสายตาแล้วไม่ใช่เลย เยี่ยม! และจากประโยคนี้คือจุดหักเหเลย บอกตรงๆเลยว่าชอบเลย โดนสุดๆ และเพิ่งมองเห็นความหล่อของคอลิน เฟิร์ธ จากเดิมที่ไม่น่าสนใจ ไม่น่าติดตามผลงานสักเท่าไหร่ แต่จากบทมาร์ค ดาร์ซี และสายตาที่ใช้เวลามองบริดเจ็ทแล้วถือว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะหยิบงานอื่นๆของผู้ชายคนนี้มาดู และประโยคจบของเรื่องนี้ก็น่าประทับใจอีกเหมือนกัน ชอบตอนที่บริดเจ็ทบอกกับมาร์คว่า “Nice boy don’t kiss like that” แต่มาร์คกลับตอบว่า “No, they fucking do” โดนสุดๆทั้งเรเน่และคอลินสอบผ่านเลยในบทของทั้งคู่ในหนังเรื่องนี้ จนตอนนี้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ดูมากที่สุดก็ว่าได้ ดูไปแล้ว10กว่ารอบแล้วเนี๊ยะ นี่ยังไม่นับรวมภาคสองนะ ภาค2นี่ก็ดีเหมือนกัน มาร์คยังเป็นมาร์คเหมือนเดิม น่ารักเหมือนเดิม แต่สำหรับบริดเจ็ทเราคิดว่าบริดเจ็ทน่ารักขึ้น ดูแล้วยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่องยกเว้นตอนที่มาร์คกับบริดเจ็ททะเลาะกัน ไม่อยากดูเท่าไหร่ 55+ แต่ก็ทะเลาะกันฮาดีโดยเฉพาะตอนที่บริดเจ็ทว่ามาร์คว่าชอบพับกางเกงในก่อนนอน เล่นซะมาร์คเถียงไม่ออกกันเลยที่เดียว ฮ่าๆๆ (เรื่องนี้เคยมีคนถามคอลิน เฟิร์ธว่า คุณกับมาร์ค ดาร์ซีมีอะไรที่เหมือนกันรึป่าว คอลินตอบว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ที่แน่ๆผมไม่เคยพับกางเกงในก่อนนอน 55+) หลังจากที่ดูครบทั้งสองภาคแล้ว และดูซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายรอบอยู่ รู้เลยว่าทำไม Colin Firth ถึงได้กลายเป็น sex symbol ของสาวๆทั่วโลก ดูได้จากสายตาที่เขาใช้เวลามองนางเอกของเรื่องนี่แต่ละมุมบาดใจสุดๆ แบบว่าสายตานี่ฆ่าสาวๆได้ทั้งโลก มัดใจสาวๆกันไปเลยและนี่แหละที่ทำให้เขากลายเป็น perfect guy แบบไม่ต้องคิดหาคำตอบมากนัก และจากจุดนี้ทำให้เราเริ่มสนใจนักแสดงอังกฤษผู้นี้ ว่าทำไมเขาถึงทำให้สาวๆทั้งโลกหลงใหลได้ปลื้มซะขนาดนี้ ทั้งๆที่ตอนนี้อายุเขาก็เยอะละนะแต่ถ้าดูจากภาพก่อนๆพูดได้เลยว่า ยิ่งแก่ยิ่งหล่อยิ่งดูดี จากเดิมที่ไม่ค่อยได้ดูหนังของฝากอังกฤษก็กลับมาสนที่จะดูเพราะ Colin Firth จากเดิมที่ดูเฉพาะหนังที่มีดาราดังๆแสดงโดยเฉพาะดาราที่เราชื่นชอบเท่านั้น(แม้บางเรื่องจะห่วยแตกก็ตาม) แต่ตอนนี้ก็ต้องเพิ่มหนังของ Colin Firth เข้าไปอีกหนึ่ง...ก็อย่างที่หนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์ฉบับนึงเคยทำโพลออกมาว่า คนไทยส่วนมากชอบดูหนังที่ พระเอกหรือผู้แสดงฝ่ายชายเท่านั้นและไม่ค่อยสนใจเนื้อหาสักเท่าไหร่ ซึ่งก็คิดว่าจริงนะเพราะเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าเรื่องไหนดีก็ยอมรับแต่ถ้าเรื่องไหนไม่ดีถือว่าเปิดโลกละกานเพราะบางทีมันอาจจะเป็นหนังอาร์ตซึ่งบางทีอาจจะเข้าใจยาก55+ แต่ถ้าเรื่องไหนนางเอกสวยและเก่งก็ถือว่าเป็นกำไรแบบสุดๆ และจากทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสนใจเกี่ยวกับ Colin Firth และพยายามจะติดตามข่าวสารความเป็นไปตลอดจนผลงานเก่าๆ ผลงานปัจจุบันและผลงานในอนาคตของผู้ชายคนนี้

Thursday, October 16, 2008

FIRST -- FIRTH


และแล้วก็ถึงเวลาซะทีที่จะเริ่มเล่าเรื่องของ FIRTH ในแบบของเราเอง นายคนนี้ถ้าจะเขียนชื่อเขาเป็นภาษาไทยนั้น ที่เห็นอยู่ตามทั่วไปตามเวบต่างๆจะสะกดว่า คอลิน หรือไม่ก็ โคลิน ซึ่งภาษาไทยมันก็พลิกแพงกันได้แต่ในบล็อคนี้ขอใช้ คอลิน เฟิร์ธ ละกาน พยายามออกเสียงให้เป็นอังกฤษนิดนึงแล้วเดี๋ยวก็จะดีเอง 55+ เข้าเรื่องเลยกว่า บอกตามตรงเลยว่าแต่ก่อนไม่เคยรู้จักมาก่อน ใครเหรอคือคอลิน เฟิร์ธ? เขาเป็นใครไม่เคยได้ยินชื่อ จนวันนึงได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง Love Actually ซึ่งเพื่อนเป็นคนชื้อมาซึ่งตอนแรกก็ไม่อยากดูเท่าไหร่หรอกเพราะว่ามันเป็นหนังรัก ไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่แต่ก็แหกตาดูจนจบเรื่องซึ่งประทับใจมาก ประทับใจกับคู่พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง (แสดงโดย เลียม นีสัน กับ โธมัส สแตรงเกอร์) ซึ่งน่ารักมากเป็นคู่ที่เข้ากันได้ดีสุดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าความรักมักเกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ไม่จำเป็นต้องพ่อลูกกันแท้ๆ แต่ก็สามารถเข้าใจกันได้และดีอีกด้วย! ส่วนอีกคู่นึงตอนแรกก็งงๆ ว่ามันคืออะไรแล้วทำไมตาคนนี้ถึงไปอยู่ฝรั่งเศส พอกลับมาดูอีกรอบถึงรู้ อ่อ..แฟนไปเป็นชู้กะน้องชายตัวเองนี่เอง..ตาคนที่พูดถึงนี่ก็คือ คอลิน เฟิร์ธ นี่แหละ ซึ่งในเรื่องรับบทเป็น เจมมี่ ซึ่งเป็นนักเขียนที่หนีไปพักใจในฝรั่งเศสแล้วก็ไปพบกับแม่บ้าน แต่เธอนั้นดันเป็นสาวชาวโปรตุเกสซะนี่ ภาษาเลยกลายเป็นปัญหาในการสื่อสาร โดยจะสามารถเห็นได้ในฉากที่หลังจากกระโดดลงไปในสระ มันกลายเป็นแก๊กฮาเล็กๆไปเลยตอนสองคนนี้คุยกัน ตอนแรกที่ดูเรื่องนี้และดูมาถึงฉากนี้บอกตรงๆเลยว่าคงไม่น่ามีอะไรประทับใจสำหรับคู่นี้แน่ๆ แต่ที่ไหนได้ตอนจบของคู่นี้กลับเป็นคู่ที่เราประทับใจมากที่สุด แบบว่าไม่น่าเชื่อมัน amazing มาก ความรักไม่มีอะไรกั้นได้จริงๆ ในเรื่องนี้ทั้งคู่ลงทุนไปเรียนภาษาของกันและกันซึ่งน่ารักสุดๆ เราจะได้เห็นคอลินพูดภาษาโปรตุเกส ถือเป็นฉากโรแมนติกของเรื่องเลยก็ว่าได้ จากจุดนี้แหละทำให้เราเริ่มรู้จัก คอลิน เฟิร์ธ ซึ่ง Love Actually เป็นหนังเรื่องแรกของคอลิน เฟิร์ธ ที่เราได้ดู FIRST FILM OF ME ON FIRTH .ตั้งแต่นั้นมาหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังโปรดไปเลย แบบว่าซื้อมาเก็บกันเลยทีเดียวแต่สำหรับเฟิร์ธนั้น ตอนนั้นยังแค่รู้สึกว่า"ตานี่แกฮาดีเน๊าะ" พอดีว่าไม่เคยดูหนังเรื่องที่เขาเล่นก่อนหน้านี้ไงก็เลยไม่ได้อะไรมากตอนนั้นแค่ชอบบทของเขาใน Love Actually มากกว่า..ใครที่อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อคงต้องไปหาชื้อหาเช่ากันมาดูละหละ..แล้วคุณจะเริ่มรักเฟิร์ธ บอกได้คำเดียวว่า "เป็นหนังรักที่ใครไม่ได้ดูคงเฉยมาก" แบบว่าดีมากถึงมากที่สุด แล้วเราจะได้รู้ว่าความรักมันมีหลายมุม อย่ามองแค่มุมเดียวและความรักมันอยู่รอบตัวเรานี่แหละ อย่าไปมองหาไกล!

FIRTH ROLES

1. THEATER (ละครเวที)


  • Another Country
    1982
    Guy Bennett
    Queen's Theatre
  • Doctor's Dilemma
    1984
    Louis Dubedat
    Churchill Theater
  • The Lonely Road
    1985
    Felix
    Old Vic
  • Desire Under the Elms
    1987
    Eben Cabot
    Greenwich Theatre
  • The Caretaker
    1991
    Aston
    Comedy Theater & touring co.
  • Chatsky
    1993
    Chatsky
    Almeida (Islington, London)
  • Three Days of Rain
    1999/2000
    Ned/Walker
    Donmar Warehouse (London)

2. TELEVISION (ละครทีวี)

  • Crown Court (series)
    1983
  • Camille
    1984
    Armand Duval
    Hallmark
  • Dutch Girls
    1985
    Neil Truelove
    LWT TV
  • Lost Empires
    1986
    Richard Herncastle
    Granada/Masterpiece Theatre
  • Tales from the Hollywood Hills: Pat Hobby Teamed with Genius
    1986
    Rene Wilcox
    PBS/Great Performances
  • The Secret Garden
    1987
    Adult Colin Craven
    Hallmark
  • Tumbledown
    1989
    Robert Lawrence
    BBC
  • Out of the Blue
    1991
    Alan
    BBC
  • Hostages
    1993
    John McCarthy
    Granada for HBO
  • The Deep Blue Sea
    1994
    Freddie Page
  • Master of the Moor
    1994
    Stephen Whalby
    Blue Heaven Production
  • The Widowing of Mrs. Holroyd
    1995
    Charles Holroyd
  • Pride & Prejudice
    1995
    Fitzwilliam Darcy
    BBC for A&E
  • Nostromo
    1997
    Charles Gould
    BBC for Masterpiece Theatre
  • Donovan Quick
    1997
    Donovan Quick
    BBC
  • Black Adder Back and Forth
    1999
    William Shakespeare
    Tiger Aspect/ITV
  • Turn of the Screw
    1999
    The Master
    Martin Pope Production
  • Conspiracy
    2001
    Dr. Wilhelm Stuckart
    BBC for HBO
  • Celebration
    2006
    Russell
    Parallel Film Productions
  • Born Equal
    2006
    Mark
    BBC Films

3. FILM (ภาพยนตร์)

  • Another Country
    1984
    Tommy Judd
    Goldcrest Film
  • 1919
    1985
    Young Alexander
    Channel 4
  • A Month in the Country
    1987
    Tom Birkin
    Channel 4
  • Apartment Zero
    1988
    Adrian LeDuc
    Summit Company
  • Valmont
    1989
    Valmont
    Burill Production
  • Wings of Fame
    1990
    Brian Smith
    First Floor Features (NL)
  • Femme Fatale
    1991
    Joseph Prince
    Gibraltar Entertainment
  • Playmaker
    1994
    Ross Talbert/Michael Condren
    Playmaker Productions
  • Circle of Friends
    1995
    Simon Westward
  • The English Patient
    1996
    Geoffrey Clifton
    Miramax Films
  • Fever Pitch
    1997
    Paul Ashworth
    Channel 4
  • A Thousand Acres
    1997
    Jess Clark
    Touchstone Films
  • Shakespeare In Love
    1998
    Lord Wessex
    Miramax Films
  • My Life So Far
    1999
    Edward Pettigrew
    Miramax Films
  • Secret Laughter of Women
    1999
    Matthew Field
    Handmade Films
  • Relative Values
    2000
    Peter Ingleton
    Midsummer Fiilms
  • Bridget Jones' Diary
    2001
    Mark Darcy
    Miramax Films
  • Londonium (Four Play)
    2001
    Allen Portland
    Sunlight Productions
  • The Importance of Being Earnest
    2002
    Jack
    Miramax Films/Ealing Studios
  • Hope Springs
    2003
    Colin Ware
    Buena Vista Pictures
  • What a Girl Wants
    2003
    Henry Dashwood
    Warner Bros. Films
  • Girl with a Pearl Earring
    2003
    Johannes Vermeer
    Pathé Pictures Ltd
  • Love Actually
    2003
    Jaime Bennett
    Working Title Films
  • Bridget Jones: The Edge of Reason
    2004
    Mark Darcy
    Working Title Films
  • Trauma
    2004
    Ben
    Little Bird Productions
  • Where the Truth Lies
    2005
    Vince Collins
    Serendipity Point
  • Nanny McPhee
    2005
    Mr. Brown
    Working Title Films
  • The Last Legion
    2007
    Aurelius
    Dino De Laurentiis Productions
  • Then She Found Me
    2007
    Frank
    Killer Films
  • St Trinian's
    2007
    Geoffrey Thwaites
  • And When Did You Last See Your Father
    2007
    Blake Morrison
    Film Four
  • The Accidental Husband
    2007
    Richard Bratton
  • Mamma Mia
    2008
    Harry Bright
    Universal
  • Easy Virtue
    2008
    Mr. Whittaker
  • Genova
    2008
    Joe
  • Dorain Gray
    2009
    Lord Henry Wotton
  • A Christmas Carol
    2009
    Fred
  • The Meat Trade
    2009

** ถ้าเราสังเกตุดูจากภาพยนตร์นั้นจะเห็นได้ว่า ส่วนมากนั้น Colin Firth มักจะรับเล่นหนังของอังกฤษซะเป็นส่วนใหญ่ และส่วนมากเป็นหนังที่ทุนไม่สูงมากนักซึ่งทำให้เขาได้พิสูจน์การแสดงในบทบาทใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงจะรับเล่นหนังของทางฝากอังกฤษเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รับงานทางฝั่งอเมริกาซะทีเดียว ซึ่งในปีหลังๆนี้จะเห็นได้จาก Then She Found Me ซึ่งเป็นหนังของ Helen Hunt , The Accidental Husband ซึ่งถ่ายทำที่ New York ร่วมกับ Uma Turman และก่อนหน้านั้นก็มีหนังของ Atom Egoyan:Where The Truth Lies ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอยู่พอตัว ซึ่งถ้าอ่านรายชื่อหนังมาทั้งหมดทั้งมวลแล้วเราก็จะเห็นว่า Colin Firth เล่นมาแทบจะทุกบทบาทแล้ว แต่มีอยู่บทบาทนึงที่อยากเห็นมากซึ่งเขาไม่ได้แสดงบ่อยนักหรือแทบจะไม่มีโอกาสเลยก็คือ Action อยากเห็นColin สลัดคราบหนุ่มหมาดนิ่งมาลองบทบู๊ดูบ้าง เปลี่ยนจากถือกระเป๋าเอกสารมาถือปืนอีกสักครั้งหลังจากที่เคยรับบทเป็นมือปืนในเรื่อง Wing Of Fame มาแล้ว คงจะมันส์น่าดู!!

BIOGRAPHY




Colin Firth เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1960 ที่เมืองเกรย์ซอตต์ แฮมเชียร์ ประเทศอังกฤษ Colin เกิดในครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นต้องย้ายที่อยู่เป็นประจำ Colin ใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขาที่ประเทศไนจีเรีย พอเขาอายุได้7ขวบก็ย้ายกลับมาอยู่ที่อังกฤษอีกครั้ง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานนักครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่เซ็นต์หลุยส์ สหรัฐอมเริกา ตอนนั้นเขาอายุแค่ 12 ปี Colin โตขึ้นในอเมริกาและรู้จักที่นั้นดี จากนั้นครอบครัวของเขาก็ย้ายกลับมาอยู่ที่อังกฤษเสียที ที่เมืองวินเซสเตอร์ โดยพ่อของเขาเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ King Alfred's College ส่วนแม่ของเขาสอนวิชาศาสนาเปรียบเทียบ ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ชีวิตในช่วงวัยรุ่นของColinนั้นไม่ง่ายนักสักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนว่าพ่อและแม่ของเขาไม่ค่อยยอมรับในสิ่งที่เขาชอบ ช่วงนั้นColinได้ค้นพบสิ่งที่เขาชอบนั่นก็คือพวกเพลงและการแสดงนั่นเอง เขาได้หัดเล่นกีตาร์และเรียนเกี่ยวกับการแสดงในช่วงวันอาทิตย์ Colinรู้ตัวว่าอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เขาอายุ14ปี การเรียนของColinในโรงเรียนนั้นค่อนข้างไปได้ไม่สวยนัก เขาบอกว่าเขาเคยสอบตกวิชาเคมีและเขาไม่ชอบที่จะเรียนหนังสือสักเท่าไหร่ ดังนั้นColin จึงมุ่งมั่นที่จะเรียนการแสดง ช่วงนั้นเขาไว้ผมยาวแบบเซอร์ๆใส่กางเกงขาม้าฟังเพลงของProg Rock - Yes, Genesis and King Crimson ตลอดจนไปถึงพวก Punk ความฝันของColin ที่หวังจะเป็นนักแสดงก็เริ่มที่จะเป็นจริงเมื่อเขาอายุได้ 18 ปี เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนและย้ายมาอยู่ที่ London เขาได้เข้าร่วมกับ National Youth Theatre ใน London ช่วงที่เขาเข้ามาอยู่ใน London นั้น Colin พูดอยู่บ่อยๆว่าเขา " Alone in the building , Alone in London" จากนั้นไม่นานColin คิดว่าถ้าเขาต้องการจะทำให้ดีกว่านี้เขาต้องเรียน ดังนั้นเขาจึงได้เข้าเรียนที่ London Drama Centre เขาใช้เวลา6วันต่ออาทิตย์เป็นเวลานานถึง 3 ปีในการเรียนการแสดงที่นั่น และแล้วเขาก็ได้เป็นนักแสดงจริงๆซะที โดยในตอนนั้นปี ค.ศ. 1983 Colinได้แสดงละครเวทีเรื่องแรกคือ West End run of Another Country ที่ The Queen's Theatre ซึ่งเขาได้รับบทนำ Guy Bennett แทนที่ Rupert Everett ซึ่งหลังจากนั้นหนึ่งปีละครเวทีเรื่องนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และนี่ถือเป็นการเข้าสู้โลกภาพยนต์ครั้งแรงของ Colin Firth แต่แทนที่เขาจะได้รับบทเดิมนั่นก็คือ Guy Bennett แต่บทนี้กลับถูกโอนไปเป็นของ Rupert Everett แทน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ Colin รับบทเป็น Tommy Judd แทนซึ่งต้องแสดงเป็นเพื่อนสนิทของGuy Bennett พอหลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้าสู่วงการโทรทัศน์ด้วยการรับแสดงเรื่อง Camille ซึ่งเขาก็ทำได้ดี ช่วงหลายปีต่อจากนั้น Colin ก็รับงานแสดงซึ่งส่วนมากจะเป็นละครเวทีซะส่วนใหญ่ จนถึงปี 1987 เขาก็ได้แสดงภาพยนต์เรื่องที่2ของเขา A Month In The Country จากนั้นเขาก็รับงานแสดงภาพยนตร์มากขึ้นเรื่อยๆจนเข้าสู่โลกของฮอลลีวูด โดยปกติแล้วColinชองรับบทในหนังฟอร์มเล็กมากกว่า ในช่วงตั้งแต่ปี 1987 - 1994 เขารับเล่นทั้งละครทีวี ภาพยนตร์ และละครเวที เขาได้รับบทต่างๆมากมายและได้ฝึกฝนฝีมือจนเป็นที่ยอมรับในการแสดง จนมาโด่งดังสุดๆในบท Fitzwilliam Darcy หรือ Mr.Darcy (ซึ่งเล่นได้เนียนมาก หน้าตายสุดๆ)ในมินิซีรีย์ยอดฮิตของ BBC Pride&Prejudice ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ Jane Austin ในปี 1995 จากซีรีย์เรื่องนี้ทำให้ Colin Firth กลายเป็น sex symbol ของสาวๆทั่วโลก โดยเฉพาะฉากที่ Colin Firth กระโดดลงไปดำน้ำในทะเลสาบและกลับขึ้นมาพร้อมเสื้อขางที่เปียกน้ำ! และเรื่องนี้ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล BAFTA Award ในปี 1996 Colin ได้ร่วมแสดงในภาพยนต์ที่เข้าชิงออสการ์ The English Patient ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นเขาในมาดนักบิน ในปี 1997 Colin ได้แต่งงานกับ Livia Guiggioli ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี หลังจากพบกันที่กองถ่ายเรื่อง Nostromo โดยทั้งคู่แต่งงานกันที่ Tuscany หลังจากนั้นColinก็มีหนังอีกหลายเรื่องตามมา ที่เด่นๆในช่วงนั้นก็จะมี Fever Picth ของ Nick Hornby ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแฟนบอลอาร์เซนอลคนนึงและเขาก็ได้ร่วมเล่นภาพยนตร์ระดับออสการ์อีกเรื่องนั่นก็คือ Shakespeare In Love ซึ่งเขารับบทเป็น Lord Wessex และแล้วในปี 2001 เขาก็กลับมารับเป็น Mr. Darcy อีกครั้งแต่คราวนี้เป็น Mark Darcy ใน Bridget Jones's Diary ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของHelen Fielding ซึ่งผู้แต่งก็ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก นิยายของ Jane Austin's Pride&Prejudice ในเวอร์ชั่นของ Colin ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องหาทางนำเอา Colin มารับนี้ให้ได้และคู่กับ Renee Zellweger จากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ Colin Firth เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและกลายเป็นหนุ่มในฝันที่สาวๆทั่วทั้งโลกหมายปองจากบท Mark Darcy ผู้แสนดี๊แสนดี และเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง BAFTA Award อีกครั้ง! จากนั้นก็มีหนังเข้ามาอีกหลายเรื่อง ซึ่งส่วนมากเป็นแนว comedy ซะเป็นส่วนใหญ่แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งงานละครทีวี ซึ่งเรื่อง Conspiracy ในบทของDr.Wilhelm Stuckhart ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy และในปี 2003 Colin กลับมาพร้อมกับหนังฟอร์มดีทั้งสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ Girl with a pearl earring ซึ่งเขารับบทเป็น Johannes Vermeer จิตรกรชาวดัชท์ที่มีชื่อเสียงจากภาพ Girl with a pearl earring ซึ่งเขาแสดงคู่กับ Scarlett Johansson และเรื่องต่อมานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของหนังรักก็ว่าได้ นั่นก็คือ Love Actually วึ่งเป็นการโคจรมาพบกันอีกครั้งของ Hugh Grant & Colin Firth ถือได้ว่าเป็นหนังที่สร้างชื่อให้กับ Colin อีกเรื่องนึงเลยทีเดียว ในปี 2004 Colin กลับมาพร้อมกับ Bridget Jones's Diary: The Edge of Reason ซึ่งในบท Mark Darcy ก็ไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง และพร้อมด้วย Trauma หนังเรื่องนี้เป็นแนวpsycho-thriller เรื่องนี้เขาดูดีมากในผมสั้น ซึ่งไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนัก ปี 2005 ก็มีผลงานออกมาคือ Nanny McPhee ของ Emma Thomson และ Where the Truth lies ที่เขาประกบคู่กับ Kevin Bacon หนังเรื่องนี้ก็ได้รับความหือฮามากพอตัว จากบทบาทของเขาเอง! ในปี 2006 นั้นเขาไม่มีภาพยนตร์มาให้ชมกัน แต่มีมินิซีรีย์ทาง BBC นั่นก็คือ Born Equal ซึ่งเป็นหนังแนว Drama เขายังฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างสวยงาม และ Celabration ในปี 2007 เปิดตัวด้วยภาพยนตืฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่ The last Legion ซึ่งได้เห็น Colin ในบทบาทที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งเขารับบทเป็นทหารโรมัน และในปีนี้เองก็มีหนังอีก 3 เรื่องที่เขาร่วมแสดงนั่นก็คือ When did you last see your father, St.Trinian's and Then she found me แบบที่เรียกว่าดูกันตาแฉะไปเลยปีนี้ และปีนี้ 2008 ล่าสุดหนังที่กำลังกวาดรายรับรวมทั่วโลกเกือบหรืออาจจะกว่า 500 ล้านดอลล่าร์ไปแล้ว นั่นก็คือ Mamma Mia! ในภาพยนต์เรื่องนี้จะได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ของ Colin Firth นั่นก็คือจะได้เห็น Colin Firth ทั้งร้องทั้งเต้นในหนังเรื่องนี้และเขายังเล่นกีตาร์ในเพลงที่เขาร้องอีกด้วย "Our Last Summer" ซึ่งมันอาจจะไม่แปลกใหม่นักจนเกินไปเพราะเขาเคยฝากเสียงร้องมาแล้วถึง 2 เรื่อง นั่นก็คือ The importance of being earnest เพลง Lady Come Down ร้องคู่กับ Rupert Everett และเรื่อง St. Trinian's เพลง Love is in the air. และนอกจากนี้ยังมีอีกสองเรื่องที่กำลังจะลงโรงฉายให้ชมกัน นั่นก็คือ Easy Virtua ร่วมแสดงกับ Ben Barnes ซึ่งจะเข้าฉายใน UK วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ ส่วนในบ้านเราคงอาจจะต้องรออีกนานแสนนานกันเลยทีเดียว และอีกเรื่องที่ตอนนี้ Colin กำลังเดินสายเปิดตัวอยู่นั่นก็คือ Genova ซึ่งในงานเทศกาลหนังที่ Sansebastian Spain ผู้กำกับเรื่องนี้ Michael Winterbottom ก็เพิ่งได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาหมาดๆ ถือว่าเป็นการเปิดตัวไม่เลวที่เดียว และในปีหน้าเรื่องที่คงจะได้ชมแน่ๆอาจจะมีแค่ 2 เรื่องนั่นก็คือ Dorain Gray และ A Cristmas Carol คงต้องดูกันต่อไปกับผลงานของ Firth



เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Colin Firth




  1. มีความสัมพันธ์กับ Meg Tilly ขณะถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Valmont, 1989 และมีลูก 1 คน Will Firth


  2. แต่งงานกับ Livia วันที่ 21 มิถุนายน 1997 มีลูกชายด้วยกัน 2 คน Luca, Mateo


  3. Firth มีน้องสาว Katie Firth (a vocal coach) และน้องชาย Jonathan Firth (นักแสดง)


  4. ติดอันดับ "50 Most Beautiful People" list (2001) จากนิตยสาร People Magazine's


  5. สูง 187 cm. มีตาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาล(ออกจะหยิกๆนิดนึง เพราะผมจะยุ่งตลอดเวลา)


  6. ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัย Winchester ตอนอายุ 47 ปี


  7. In prison my whole life เป็นหนังเรื่องแรกที่เขาและLivia เป็น co-producer


  8. Colin สนับสนุนองค์กรต่างๆมากมายเช่น Oxam, Eco age, Make trade fair and Amnesty International


  9. เขาชอบสีฟ้า


  10. เชียร์ทีม อาร์เซนอล


  11. ฟังเพลง Coldplay, Norah Jones, Ryan Adams etc.


  12. เล่นกีตาร์และเปียโน


  13. รักและศึกษาวัฒนธรรมอิตาลี


  14. ชอบรับเล่นบทแปลกๆซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นความท้าทายอย่างนึงในการทำงาน


  15. Colin เบื่อหน่ายชื่อของเขามาก เพราะเขาบอกว่ามันน่าเบื่อจะตายไป


  16. แม้ว่าสาวๆ หลายคนจะหลงใหลได้ปลื้มกับภาพ Mr. Darcy ของเขา แต่เขาก็เล่าว่า พอน้องชายรู้ว่าเขาได้รับบทนี้ น้องชายก็ถามเขาอย่างแปลกใจว่า “Darcy เหรอ แต่เขาเซ็กซีไม่ใช่เหรอพี่”


  17. พ่อของเขามักพูดว่า " Colin ไม่ใช่คนที่เงียบขรึมอย่างในหนังหรือในละครที่เห็นกัน นั่นไม่ใช่บุคลิกของเขาเลย เขาออกจะเสียงดังจนน่ารำคาญด้วยซ้ำไป"


  18. ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารมาดามฟิกโกโร่ว่าผู้หญิงในชีวิตเขามีแค่3คนนั่นก็คือ แม่,ภรรยา และ เจน ออสติน


  19. อาศัยอยู่ทั้งในลอนดอนและอิตาลี


  20. พูดภาษาอิตาลีได้คล่องมาก


  21. มีร้านขายของเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนอยู่ในลอนดอน


  22. เคยแสดงเป็นตัวเองใน Bridget Jones's DiaryThe Edge of reason ในตอนที่ Bridget สัมภาษณ์ Colin Firth