Friday, December 26, 2008

Movies Blunders Poll 2008

สำหรับนักดูหนังทั้งหลายแล้วการดูหนังคงไม่ใช่แค่ความบันเทิงเท่านั้นแต่มันยังสามารถนำมาต่อยอดเป็นเรื่องคุยเรื่องพูดได้อีกมากมาย เพราะส่วนมากแล้วเป็นที่แน่นอนว่านักดูหนังนั้น เวลาเข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่งๆนั้นไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียวแน่นอนแต่ต้องมีนำกลับมาวิจารณ์ วิเคราะห์กันอีกจ้าระหวั่น..ไม่ว่าจะเป็นเนื่อเรื่องหนัง พระเอก นางเอก ตอนจบ ผู้ร้าย มุขต่างๆในหนัง ฉากนั้นฉากนี้ โอ๊ย!!จิปาถะ นานจิตังและยังรวมทั้งการจับผิดด้วย ซึ่งปีนี้ก็มีออกมาแล้วสำหรับหนังที่มีข้อผิดพลาดมากที่สุด ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากเวบไซต์ moviemistakes ของฝรั่งเค้านู้น..ซึ่งสามอันดับแรกเนี๊ยะดูเหมือนจะเป็นหนังสร้างกระแสทั้งน้านนน ไม่ว่าจะเป็น Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ซึ่งมีคนจับจุดที่ผิดพลาดได้มากเป็นอันดับ1 ถึง 64 จุด ส่วนอันดับสองเรื่องนี้ก็เป็นหนังกระแสเหมือนกัน แต่เป็นกระแสแม่บ้านซะส่วนใหญ่ Mamma Mia! ซึ่งมีข้อผิดพลาดถึง 44 จุด ส่วนอันดับสามเป็นหนังกระแสตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าฉายจนกระทั้งตอนนี้ก็ยังแรงอยู่ The Dark Knight ตามมาติดๆที่ 43 จุด ส่วนอันดับอื่นก็เชิญชมตามอัธยาศัยกันเอาเอง...ซึ่งคนที่เป็นเป็นคนจัดการรวบรวมข้อมูลเนี๊ยะ(moviemistakes editor)เขาบอกว่า "ด้วยงบประมาณของหนังแล้วเนี๊ยะ ผู้สร้างสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดแบบนี้ได้อยู่แล้ว(แบบให้คนดูจับผิดได้) หรืออย่างน้อยก็ใช้พวกคอมพิวเตอร์กราฟฟิกช่วยก็ได้แต่พวกเขากลับปล่อยข้อผิดพลาดให้ปรากฎออกมาและคนดูก็ดันตาไวเห็นจุดพวกนั้นพอดี" นี่คือรายชื่อหนังที่มีข้อผิดพลาดมากที่สุด 10 อันดับ

2. Mamma Mia! - 44 mistakes

3. The Dark Knight - 43 mistakes

4. Twilight - 41 mistakes

5. High School Musical 3: Senior Year - 41 mistakes

6. Journey to the Center of the Earth - 31 mistakes

7. Quantum of Solace - 23 mistakes

8. Get Smart - 23 mistakes

9. Step Brothers - 23 mistakes

10. Iron Man - 21 mistakes

ข้อผิดพลาดพวกนี้ยังไม่แน่นอนมีเพิ่มเรื่อยๆตราบใดที่นักดูหนังทั้งหลายเขายังพบจุดผิดพลาดอีกเรื่อยๆ แต่ที่เอามาเนี๊ยะไม่น่าจะผิดโผละ..ฮ่าๆๆโดยเฉพาะเรื่องแรก เห็นกันชัดๆตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ละ เหอๆๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะนี่เป็นการจับผิดเพื่อที่ผู้สร้างจะได้ละเอียดกับงานมากกว่านี้(ทั้งๆที่ละเอียดก็จะได้ระเอียดอีก) ท้ายปีอย่างนี้ไม่ได้มีแค่จับผิดข้อผิดพลาดของหนังแค่อย่างเดียวมันยังมีการจัดอันดับหนังยอดแย่อีกตางหาก..หนังที่คุณคิดว่าดีสำหรับคุณจะอยู่ในลิสต์หนังยอดแย่รึป่าว?ต้องติดตามรอดูโพลกันต่อไป ส่วนใครที่อยากรู้ว่ามันผิดเยอะอย่างนี้รึป่าวก็ไปหาหนังเรื่องพวกนี้มาดูซะแล้วคุณจะรู้เอง???

Tuesday, December 23, 2008

The Heart Of The Matter

The heart of the matter is a song of The Eagles, preformance by Don Henley. In 1994, " When hell freezes over" concert he sang this song and told the details about this song that this song used fourty-two years to write (I guesses, his age) but four minute to sing.( Colin Firth ever said like this about his song in Mamma Mia! "our last summer" three days in studio to sing a three minute song.)




I got the call today, I didn't wanna hear
วันนี้ฉันได้รับโทรศัพท์, เป็นสายที่ฉันไม่อยากได้ยิน
But I knew that it would come
แต่ฉันรู้ว่ายังไงมันก็ต้องมาจนได้
An old true friend of ours was talkin' on the phone
เป็นสายของเพื่อนเก่าของเราสองคน
She said you found someone
เธอพูดว่าคุณพบคนใหม่แล้ว
And I thought of all the bad luck,
และมันทำให้ฉันย้อนนึกถึงความโชคร้าย
And the struggles we went through
กับสิ่งที่เราสองคนเคยพยายามดิ้นรนพยายามผ่านมันไปในอดีต
And how I lost me and you lost you
รวมถึงการที่ฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง และเธอสูญเสียความเป็นเธอ
What are these voices outside love's open door
เสียงเรียกร้องจากภายนอกเหล่านี้คืออะไร
Make us throw off our contentment
มันทำให้เราโยนความพอใจของเราทิ้งไป
And beg for something more?
และอ้อนวอนเพื่อขอบางสิ่งที่มากกว่านี้
I'm learning to live without you now
ในตอนนี้ฉันเรียนรู้ที่จะอยู่โดยไม่มีเธอแล้ว
But I miss you sometimes
แต่ก็คิดถึงเธอในบางครั้ง
The more I know, the less I understand
ยิ่งฉันรู้มากเท่าไหร่, ฉันยิ่งเข้าใจน้อยลงเท่านั้น
All the things I thought I knew, I'm learning again
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยคิดว่าตัวเองรู้, ฉันกำลังเรียนรู้มันอีกครั้ง
I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
ฉันพยายามที่จะเข้าไปให้ถึงต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น
But my will gets weak
แต่ความตั้งใจของฉันกลับอ่อนแอลงไปทุกที
And my thoughts seem to scatter
และความนึกคิดของฉันเหมือนแตกเป็นเสี่ยงๆ
But I think it's about forgiveness
แต่เรื่องที่ฉันคิดถึงคือการให้อภัย
Forgiveness
การให้อภัย....
Even if, even if you don't love me anymore
แม้ว่า....แม้ว่าเธอจะไม่รักฉันแล้วก็ตาม
These times are so uncertain
ช่วงเวลาเหล่านี้ทำให้ฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก
There's a yearning undefined
มีความคิดถึงที่ไม่สามารถนิยามได้อยู่
People filled with rage
ในหมู่ผู้คนที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล
We all need a little tenderness
เราแค่ต้องการความอ่อนโยนรักใคร่
How can love survive in such a graceless age
เพื่อให้ความรักอยู่รอดในยุคแห่งความแข็งกร้าว
The trust and self-assurance that can lead to happiness
ความไว้วางใจซึ่งกันและกันและความมั่นคง ที่สามารถนำเราไปสู่ความสุขสมหวังในชีวิต
They're the very things we kill, I guess
มันกลายเป็นสิ่งที่เราพยายามลบล้างทิ้งไป, ฉันคิดว่าอย่างนั้น
Pride and competition cannot fill these empty arms
ความหยิ่งยโส และการแข่งขันในชีวิต ไม่สามารถเติมเต็มอ้อมแขนที่ว่างเปล่านี้ได้
And the work I put between us,
และหน้าที่การงานที่ฉันนำมันมาขวางหน้าเราไว้
Doesn't keep me warm
มันไม่ทำให้ฉันอบอุ่นขึ้นมาเลย
I'm learning to live without you now
ในตอนนี้ฉันเรียนรู้ที่จะอยู่โดยไม่มีเธอแล้ว
But I miss you, Baby
แต่ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน, ที่รัก
The more I know, the less I understand
ยิ่งฉันรู้มากเท่าไหร่, ฉันยิ่งเข้าใจน้อยลงเท่านั้น
All the things I thought I figured out, I have to learn again
ทุกสิ่งที่ฉันคิดว่าได้ไตร่ตรองไว้แล้ว, ฉันต้องเรียนรู้มันอีกครั้ง
I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
ฉันพยายามที่จะเข้าไปให้ถึงต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น
But everything changes
แต่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว
And my friends seem to scatter
และเพื่อนๆของเราดูเหมือนได้แยกย้ายกันไป
But I think it's about forgiveness
แต่เรื่องที่ฉันคิดถึงคือการให้อภัย
Forgiveness....
การให้อภัย
Even if, even if you don't love me anymore
แม้ว่า....แม้ว่าเธอจะไม่รักฉันแล้วก็ตาม
There are people in your life who've come and gone
มีผู้คนมากมายเข้ามาในชีวิตเธอ ผ่านมาและก็ผ่านไป
They let you down and hurt your pride
พวกเขาทำให้เธอรู้สึกแย่และทำลายความภูมิใจในชีวิตเธอ
Better put it all behind you; life goes on
อย่าไปใส่ใจพวกเขาจะดีกว่า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
You keep carrin' that anger, it'll eat you inside
ถ้าเธอยังเก็บความโกรธไว้, มันจะทำร้ายใจเธอเอง
I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
ฉันพยายามที่จะเข้าไปให้ถึงต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น
But my will gets weak
แต่ความตั้งใจของฉันกลับอ่อนแอลงไปทุกที
And my thoughts seem to scatter
และความนึกคิดของฉันเหมือนแตกเป็นเสี่ยงๆ
But I think it's about forgiveness
แต่เรื่องที่ฉันคิดถึงคือการให้อภัย
Forgiveness
การให้อภัย....
Even if, even if you don't love me anymore
แม้ว่า....แม้ว่าเธอจะไม่รักฉันแล้วก็ตาม
I've been tryin' to get down to the Heart of the Matter
ฉันพยายามที่จะเข้าไปให้ถึงต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น
Because the flesh will get weak
เพราะร่างกายเริ่มที่จะอ่อนแอลง
And the ashes will scatter
และเถ้าธุลีเริ่มที่เริ่มจะแตกออกเป็นผุยผง
So I'm thinkin' about forgiveness
ฉันเลยคิดถึงเพียงแค่การให้อภัย

Forgiveness....
การให้อภัย
Even if, even if you don't love me anymore
แม้ว่า....แม้ว่าเธอจะไม่รักฉันแล้วก็ตาม


This song was in the the DVD concert on the alblum " Hell Freezes Over". It is acustic live concert that is so great!

เพลงนี้ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อเปิดกรอกหูทู้กวัน แต่ก็เพิ่งมาเข้าใจความหมายของเพลงก็เมื่อไม่นานมานี้เองแล้วถ้าลองไปหาเกี่ยวกับเพลงนี้ก็จะรู้ว่ามันมีที่มามาจากตัวคนร้องนั่นแหละ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราว Don Henley กับอดีตแฟนของเขาที่คบกันมาเป็นสิบปีแต่กลับมาต้องเลิกกัน (เพราะเหตุผลอะไรไม่รู้แต่อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับในเพลงก็ได้...) ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ DVD นี้จะยังหาซื้อได้อีกรึป่าว? ถ้าใครมีก็ถือว่าควรค่าแก่การรักษา ฮ่าๆๆเพราะที่บ้านนี่พ่อห่วงมากก เหอๆๆ แต่ถ้าใครอยากซื้อก็ต้องพยายามกันหน่อยเพราะคงหาซื้อยากแล้วหละ --สนันสนุนของแท้นะคุณ Do Not piracy!!

ถ้าใครได้ดูหนังเรื่อง SEX AND THE CITY (ไม่ใช่ซีรีย์นะ) จะได้ยินเพลงนี้เป็น Soundtrack ของหนังเรื่องนี้แต่เป็นแบบเวอร์ชั่นผู้หญิงร้อง แบบว่ามันมีคนเอามาcoverหลายคนมากกกก ลองไปหาฟังดูได้เลย...


Monday, December 22, 2008

Former??


เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าฝรั่งเขาชอบทำพวก picture capture หรือพวก Fan pic อะไรกันทำนองนี้แหละ เห็นภาพนี้แล้วก็เลยเก็บเอามาฝาก อ่านดูแล้วก็ฮาๆดี โดยเฉพาะของเพียร์ซ บรอสแนน เอิ๊กๆๆ เขาเรียกกันว่าเป็นการดูหนังแบบไม่เสียเปล่า เพราะดูแล้วยังเก็บเอามาวิจารณ์ ฮ่าๆๆๆ เพราะแต่ละคนในภาพนี้เนี๊ยะมีคาร์แรคเตอร์เด่นๆ จากหนังเรื่องก่อนๆกันอยู่แล้ว ถือว่าช่างคิดดี! good job

Sunday, December 21, 2008

โปรแกรมส่งท้ายปี

นับจากวันนี้ไปอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสิ้นปีแล้ว..ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นปี สิ้นโลก หรือสิ้นใจกันแน่ เพราะกว่าจะถึงวันสิ้นปีที่ได้หยุดยาววว ฉันต้องสอบๆๆๆ (คิดแล้วเซงเหลือเกิน) แต่ก็อยากให้มันผ่านพ้นไปให้เร็วๆสำหรับปีนี้ เพราะว่ามันเริ่มไม่ค่อยมีไรน่าสนใจแล้ว ยิ่งถ้าเป็นแวดวงหนังในบ้านเรานี่ยิ่งไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจส่งท้ายปีเลย แต่ผิดกับในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดหนังโลกอย่างสหรัฐ ยิ่งปลายปียิ่งแรงอาจจะเป็นเพราะว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะประกาศรางวัลใหญ่ของหนังแล้ว..คงไม่ต้องเดาให้เมื่อยว่ามันคืออะไร ออสการ์นั่นเอง แค่ตอนนี้มีน้ำจิ้มชิมลางออกมาก็ตื่นเต้นน่าดูแล้วสำหรับรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล GOLDEN GLOBE หรือที่ในบ้านเราเรียกว่า "ลูกโลกทองคำ" เพราะว่าพวกหนังตัวเต็งทั้งหลายนั้นเพิ่งเปิดตัวจัดงาน premiere เดินพรมแดงกันหมาดๆๆ แต่ส่วนมากก็ฉายกันในวงจำกัดแบบวาขอแค่มีสิทธิ์เข้าชิงก่อน แล้วค่อยขยายวงกว้างทีหลัง ซึ่งถ้าเป็นชาวอเมริกันแล้วคงจะถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่หนังคงจะร้อนแรงมาก ถือว่าสุดสัปดาห์แห่งการพักผ่อนกันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่หนังหวังรางวัลที่เปิดตัวกันในเดือนนี้เท่านั้น อย่างอเมริกาแล้วนั้นถือว่าเป็นอุตสาหกรรมหนังอย่างแท้จริง เพราะเขามีหนังมาเปิดตัวตลอดเวลา ช่วงส่งท้ายปีนี่อาจจะเป็นพวกหนังแบบว่าอยากดังข้ามปี เหอๆๆ ซึ่งก็มีหนังที่น่าดูอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน ซึ่งหนังพวกนี้ไม่ได้หวังรางวัลแต่หวังคนดูมากกว่า ฮ่าๆๆ นี่ขนาดปลายปีตลาดหนังในต่างประเทศยังไม่หยุดแต่ในบ้านเรากลับเงียบ(มาก) ตอนนี้จะมีก็แค่หนังของจา พนม "องค์บาก2" และอีกเรื่องก็เป็นหนังรักหรือหนังชีวิต ดราม่า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนั่นก็คือ "HAPPY BIRTHDAY" ของผู้กำกับพงษ์พัฒน์ ที่ได้คู่พระนางเดิมมาถ่ายทอดเรื่องราว ซึ่งก็เป็นหนังที่น่าดูอยู่เหมือนกัน ถ้าเทียบกันแล้วกับต่างประเทศก็อย่างที่เห็นว่ามันไม่ติดฝุ่นกันเลย ก็คงต้องรอลุ้นตลาดหนังในบ้านเราแล้วก็ในต่างประเทศกันต่อ แต่ในบ้านเราช่วงท้ายปีตอนนี้ก็อาจจะมีเฮนิดๆหน่อยๆสำหรับพวกนักสะสมทั้งหลาย เพราะตอนนี้ดีวีดี บลูเรย์ boxset ของหนังออกมามากมายเหลือเกิน ยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลากซะอีก ซึ่งต้องจัดการการเงินกันอย่างหัวหมุนส่งท้ายปีกันเลยทีเดียว เพราะว่าทุกเรื่องน่าเก็บไปหมด ตอนนี้ทำได้อย่างเดียวก็คือ รอปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเพราะว่าถ้าดูจากโปรแกรมหนังของปี 2009 แล้วนั้นต้องบอกว่าสุดยอดทั้งนั้น ฮ่าๆๆแต่เฉพาะในตลาดนอกนะเพราะในไทยไม่รู้ว่าจะได้เข้ามาสักกี่เรื่อง (เหมือนประเทศไทยเป็นประเทศปิดเลยหวะ..ทั้งๆที่สมาพันธ์ภาพยนตร์)

โดยเฉพาะหนังของ Colin Firth ปีหน้าก็จะมีให้ดูอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน บางเรื่องก็เปิดตัวไปแล้วบางเร่องก็เพิ่งถ่ายเสร็จ แฟนหนังทั้งหลายก็คงต้องต่อไป เรื่องที่จะฉายปีหน้าก็มี Genova, The accident husband เรื่องนี้เหมือนจะเปิดตัวไปนานมากแล้วว, Dorian Gray, A single man (เดาว่าน่าจะปลายปี) และอีกเรื่อง The christmas carol นับๆดูก็หลายเรื่องอยู่แหะ แต่ก็อีกนะ ในบ้านเรานั้นหนังทางฟากอังกฤษไม่ค่อยบูม เหอๆๆ ทำได้คือรอแผ่น เห้ออออออคิดแล้วเซง--25 ธันวานี้ ใครอยากเกาะกระแสหนังที่มียอดขาย DVD หมดเร็วที่สุดคงต้องรีบไปจับจอง DVD เรื่อง MAMMA MIA! (ถ้าจะซื้อแนะนำให้ชื้อแบบEdition 2 แผ่น คุ้มกว่ากันเยอะเลยเพียบไปด้วย special feature)กันหน่อยนะเพราะเรื่องนี้ในอังกฤษขายแผ่นหมดไวมากและยอดขายมากกว่าที่ ไททานิคเคยทำไว้ซะอีก โอกาสมาถึงมือท่านละ เพราะในบ้านเราคงไม่ต้องไปแย่งกะใครเขาเหมือนในต่างประเทศ ฮ่าๆๆๆ

Tuesday, December 16, 2008

Swing Vote

Finally, Thailand had a new PM. He is Mr. Abhisit Vejjajiva his nickname is “Mark” who is a leader of democracy party. He is 27th PM of Thailand. His background, He lived in England until he was young and learned at Eton then he graduated bachelor and master degree from Oxford University. He had interested political until teenage and he was a volunteer for election in summer when we come back to Thailand also. When he graduated and came back to Thailand, in the first he was a lecturer at military school and moved to Thummasart University and Chulalongkorn University. After that, former PM Mr. Chuan Leekpai persuaded him to politics road. That is the beginning of a new PM.


He won the vote 235:198 from the member of the House of Representatives. Now the way that Thailand could be, it will be that up to this government.














P.S. If anyone who does not agree with this government, please do not destroy your hometown by protest and blockade the airport. Because it so terrible to acceptance!


This journal is not relate with Firth but I just want to write that all. Nickname of PM is Mark 55+ not Mark Darcy but he graduated from Eton like Mark Darcy 55+ but not Cambridge he’s Oxford and both supporting Newcastle United Football Club, oh Thailand it so unbelievable!!


















Thursday, December 11, 2008

Easy Virtue


Easy Virtue เป็นภาพยนตร์จากประเทศอังกฤษ ซึ่งชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ถ้าเปิด dictionary ดูจะแปลประมาณว่า "ใจง่าย" "แพศยา" ประมาณนั้น ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตุหรอกว่าชื่อหนังมันแปลว่าอย่างนี้ จนวันนึงมาสะดุดคิด เหอๆๆ จึงได้รู้ความจริง ฮ่าๆๆๆ กำหนดฉายในประเทศไทยคงจะยังไม่มี เพราะขนาดอเมริกายังฉายปีหน้าเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ สเตฟาน เอลเลียต (ชื่อไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่) ซึ่งได้ เจสสิกา บีล (หวานใจของจัสติน ทิมเบอเรค) เบน บาร์นส์ (เจ้าชายแคสเปี้ยน) คอลิน เฟิร์ธและ คริสทิน สกอต โธมัส (สองคนหลังไม่ต้องเอ่ยอะไรก็น่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว) ร่วมกันแสดงนำ นำ นำ ฮ่าๆๆ ไม่รู้ว่าใครจะนำใคร ใครจะเด่นกว่าใคร โดยใน 4 นี้ เจสสิกา บีล นั้นยังไม่เคยร่วมงานกับใครมาก่อนเลย เบน บาร์นส์ก็เหมือนกันแต่เขากำลังจะมีผลงานเรื่องต่อไปกับคอลิน เฟิร์ธ อีกเรื่องนึง (Dorian gray) ซึ่งถ่ายทำเสร็จไปแล้ว แต่ในส่วนของ คอลิน เฟิร์ธ กับ คริสทิน สกอต โธมัส นั้นป็นการกลับมาแสดงร่วมกันเป็นเรื่องที่ 2 หลังจากเรื่อง English patient (นานมากกก) ซึ่งก็ยังคงบทบาทเดิมก็คือแสดงเป็น สามี ภรรยากัน (แต่เรื่องนี้ คริสทิน คงไม่แอบมีชู้แน่นอน 55) ภาพยนตร์เรื่องจะออกแนวคอมเมดี้ ร้ายลึกภายในครอบครัว เหอๆๆ เป็นเรื่องครอบครัวชนชั้นสูงครอบครัวหนึ่งในอังกฤษในยุค 20 ซึ่งมีอคติกับสาวอเมริกัน แต่ลูกชายของครอบครัวนี้ก็ดันไปแต่งงานกับสาวอเมริกันซะนี่ เรื่องยุ่งๆระหว่างครอบครัวสามีกับลูกสะใภ้ก็เลยเกิดขึ้น โดยเฉพาะแม่สามีที่ออกอาการสุดๆ เห็นได้ชัดทุกตอนทุกฉากที่แม่สามีและลูกสะใภ้มาเจอกัน เป็นฉากที่ปะทะคารมกันสุดๆ เฉือดเฉือนกันสุดฤทธิ์ (แต่ดีกว่าในหนังไทยเยอะ) ซึ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์มาฉบับนึงซึ่งผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้บอกว่า "คริสทิน สกอต โธมัส เธอเล่นได้ร้ายลึกมากและทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนเวลาเธอแสดง" "เวลาที่ทั้งสอง(คริสทินและเจสสิกา)เข้าฉากด้วยกัน มันเหมือนกับแมวแยกเขี้ยวใส่กัน" นี่แค่บทสัมภาษณ์เล็กๆเท่านั้นก็น่าพิสูจน์แล้วว่าจะจริงรึป่าว?

นี่แค่ดารานำหญิงของเรื่องนะเนี๊ยะ ยังไม่รวมนำชายอีกสองคน ก็คือ เบน บาร์สน์และคอลิน เฟิร์ธ โดยบทของ เบน นั้นดูแล้วคงแปลกตาไปจากเรื่องเดิมแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้บทของเขาจะเน้นไปในทางฮาซะมากว่า มีซีนอารมณ์นิดๆหน่อยๆ ดูแล้วสบายๆ ส่วนในบทของ คอลิน เฟิร์ธ นั้นรับบทเป็นพ่อของ เบน ซึ่งเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่รู้สึกรังเกียจนางเอง ถึงบทดูเหมือนจะธรรมดาแต่ก็แฝงไปด้วยความไม่ธรรมดา เพราะแน่นอนว่าเขาขโมยซีนไปเต็มๆกับหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือฉากเต้น Tango กับลูกสะใภ้ ฮ่าๆๆ ขโมยซีนกันไปเลยและถ้าใครยังชอบในบท เจเรมี ใน love actually ของคอลินที่พูดภาษาโปรตุเกสแล้วนั้น ในเรื่องนี้เรายังจะได้เห็นความสามารถทางภาษาของนักแสดงคนนี้อีกหนึ่งภาษาก็คือ ภาษาฝรั่งเศส ในฉากตอนซ่อมมอเตอร์ไซคื ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวไปแล้วที่อังกฤษและ
การตอบรับจากเทศหนังต่างประเทศต่างก็เป็นที่ยอมรับของคนดูและลังจากนี้ไปเราก็ต้องมาดูกันว่าภาพยนตร์ที่ใช้นักแสดงมากฝือมือหลายคนมาประชันกันจะประสบความสำเร็จขนาดไหน! ต้องติดตามกันดู ถ้ามีความคืบหน้าจะเอามาเล่าให้ฟังอีก--เพราะเราจะเล่าเรื่องหนังของ FIRTH ทุกเรื่อง

Tuesday, December 2, 2008

Tom Ford directs "A Single Man"

แวดวงข่าวสารบันเทิงของไทยเพิ่งจะส่งข่าวการกระโดดเข้าวงการภาพยนตร์ในฐานะ"ผู้กำกับ" เรื่องแรกของดีไซน์เนอร์ชื่อดัง Tom Ford เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายสุดหรูที่มีชื่อเดียวกันนั้น ซึ่งเป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาเองโดยเขาได้เขียนบทเองด้วย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของ คริสโตเฟอร์ ไอเซอร์วูด ซึ่งเป็นเรื่องราวของ จอร์จ อาจารย์มหาวิทยาลัยคนนึงที่สูญเสียคนรักไปอย่างกระทันหันและเขาต้องใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปให้ได้โดยมีเพื่อนรักคอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งนักแสดงของเรื่องนี้เคยได้นำมาเขียนแล้วครั้งนึง ก็คือ "จอร์จ" นำแสดงโดย คอลิน เฟิร์ธ ส่วน จูลีแอน มัวร์ นั้นจะแสดงเป็น"ชาลอตต์"เพื่อนของจอร์จ และร่วมด้วย แมทธิว กู๊ด รับบทเป็น "จิม" คนรักของจอร์จ อีกทั้งยังมีดาราหนุ่มจาก About a boy นิโคลัส ฮัลท์ และ จินนิเฟอร์ กู๊ดวิน มาร่วมแสดงด้วยในเรื่องนี้ ส่วนกำหนดฉายของภาพยนตร์เรื่องคงอาจจะเป็นไม่กลางปีก็ปลายปีหน้าเพราะขณะนี้ทางทีมงานและนักแสดงกำลังถ่ายทำกันอยู่ที่เมืองนางฟ้าหลงทาง ลอส แองเจลลิส แคลิฟอร์เนียนู้น สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นยังไงนั้นสามารถติดตามได้จากเวบไซต์ของ คอลิน เฟิร์ธ เพราะรู้สึกว่าแฟนคลับของหนุ่มคนนี้จะกระตือรือร้นกับภาพยนตร์เรื่องซะจริงๆ แล้วก็คงต้องคอยดูกันต่อไปว่าดีไซน์เนอร์หนุ่มคนดังจะสามารถเนรมิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาได้น่าชมขนาดไหน--ต้องติดตามกันต่อไป มีภาพจากการถ่ายทำบางส่วนมาให้ชมแต่ต้องคลิกเข้าไปดูเอง--

Location Filming






Monday, December 1, 2008

MAMMA MIA! AGAIN


Mamma Mia! ทำลายสถิติใหม่ของวงการหนังอังกฤษในการวางจำหน่าย DVD เพียงแค่วันแรกเท่านั้นสามารถขายได้ถึง 1.7 ล้านแผ่น ซึ่งทำลายสถิติของภาพยนตร์เรื่อง Titanic ที่ขายได้ 1.1 ล้านแผ่นในการวางจำหน่ายวันแรกเมื่อปี 1998ไปได้ เป็นการทำยอดขายเร็วเป็นประวัติการของอังกฤษเลยทีเดียวเพราะนี่แค่ยอดจำหน่ายในวันจันทร์แรกที่วางจำหน่ายเท่านั้น! ภาพยนตร์เพลงเรื่อง “Mamma Mia!” นอกจากจะฮิตสุดๆ ในอังกฤษแล้ว จนทำรายได้แซงหน้า Harry Potter and the Philosopher Stone กลายเป็นหนังอังกฤษที่ทำเงินสูงสุดในอังกฤษไปแล้ว DVD ยังทำยอดขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษเลยทีเดียว สำหรับรายได้ของภาพยนตร์ก็ยังคงไปได้ดีในอังกฤษ ติดใน 15 อันดับสูงสุด โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำยอดลดไป 42% ทำรายได้รวมในอังกฤษไปแล้ว 104.6 ล้านดอลลาร์--อย่างนี้ทั้งผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ ทีมงานและนักแสดงคงหน้าบานกันเป็นแถว เป็นการส่งท้ายปีที่ดีของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียวเพราะมีบางประเทศที่หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เปิดตัวอีก ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหนังเรื่องนี้จะโกยเงินเป็นกอบเป็นกำให้กับยูนิเวอร์เซลอีกได้แน่นอน!

Thank--Nangdee.com

Sunday, November 30, 2008

MAMMA MIA! 2

หลังจากที่พวกเราๆทั้งหลายได้ดูหนังเรื่องนี้กันไปแล้ว ซึ่งหนังก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น แบบว่าถล่มถลายกันไปเลยทีเดียวเพราะว่ารายรับทั่วโลกนั้นกวาดไปเกือบ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางผู้สร้างหนังเขาจึงคิดกันว่าน่าจะมี ตอนที่ 2 ออกมา (ออกมาเพื่ออะไรก็ไม่รู้) อาจจะเพื่อเอาใจแฟนหนังเพลงก็เป็นได้หรือสำหรับอาจจะเพื่อคนที่ยังไม่หายจากอาการตะลึงในเสียงร้องของเพียร์ซ บอรสแนน ฮ่าๆๆ ซึ่งพอดีว่าได้ผ่านไปอ่านคอลัมหนึ่งซึ่ง เมอรีล สตรีฟ ซึ่งตอนนี้กำลังมีภาพยนตร์ซึ่งคาดว่าหวังออสการ์แน่นอน กำลังออกฉายอยู่นั่นก็คือเรื่อง Doubt (แต่ฉายในวงแคบเฉยๆนะแค่เอาสิทธิ์ชิงออสการ์ปีหน้าเท่านั้น แต่กำหนดฉายแบบเต็มตัวคงเป็นปี 2009) ซึ่งเมอรีล บอกว่า Mamma Mia ภาคต่อเนี๊ยะถ้าเกิดว่ามีขึ้นมาจริงๆ เธอยินดีที่จะร่วมแสดงด้วยแต่มีข้อแม้ว่านักแสดงนำชายต้องเป็นคนเดิมเท่านั้น นั่นก็คือ เพียร์ซ บรอสแนน คอลิน เฟิร์ธ และ สเตนแลน สการ์การ์ด โอ้แม่เจ้า! ถ้าให้เป็นอย่างนี้จริงๆคงสงสารคนเขียนบทน่าดู แต่คิดว่าคนที่ติดตามก็คงอยากจะรู้ว่าถ้าทั้ง 4 คนมาเจอกันอีกในภาคของหนังเรื่องนี้แล้วจะเป็นยังไง คนที่คิดโปรเจคเรื่องนี้ก็สุดยอด นี่ขนาด DVD เพิ่งวางจำหน่ายได้ไม่ถึงเดือน ยังวางแผนถึงภาดต่อซะแล้ว สงสัยว่าคงเป็นโปรเจคที่ 50/50 แน่นอน เพราะว่าอาจจะมีหรืออาจจะไม่ในเวลาเดียวกัน..ฮ่าๆๆ แต่ถ้ามีจริงๆขึ้นมานี่คงต้องชิงออกฉายก่อนที่นักวิจารณ์ฟากอเมริกันจะวิจารณ์คงจะดี เพราะเท่าที่ผ่านมาหนังเรื่องประสบความสำเร็จในทุกประเทศที่ออกฉาย แต่ในอเมริกากลับมีเสียงวิจารณ์เยอะเหลือเกิน..ลองคิดดูสิถ้าไม่ติดเสียงวิจารณ์ในอเมริกา Mamma Mia จะกวาดไปอีกกี่ล้าน...ถึงคราวนั้นแหละ ผู้สร้างคงเขียนบทและจัดคิวนักแสดงกันไม่ทันทีเดียว โดยเฉพาะถ้าได้ชุดเดิมนะ เพราะตอนนี้งานเยอะกันเหลือเกินโดยเฉพาะ คอลิน เฟิร์ธ ที่ตอนนี้กำลังfilming A Single Man อยู่ (หนังน่าจะดี) ส่วนเมอรีล สตรีฟ ก็เตรียมตัวเพื่อชิงออสการ์ แค่นี้ก็ยุ่งหละ ถ้ามีภาคสองคงยุ่งกว่านี้อีกแน่นอน เราก็คงต้องรอดูกันต่อไป

Friday, November 21, 2008

Fever Pitch--Arsenal



For the Guuners, This is a film that the gunners should see! "Fever Pitch" This film base on Nick Hornby's best seller novel. Nick Hornby is a Arsenal fan so, he wrote this novel for the his Arsenallife. The film is about a Arsenal fan "Paul Ashworth" who had watched a Arsenal match with his father in childhood and then he know that "This is his life, Arsenal is the everything" Until he grow up, he still is Arsenal fan and teacher in the same time. But his life isn't easy, his girl friend "Sarah Hughes" she is a teacher in the same school who is don't like to watch a football match but she loves Paul. First time, she thought "Paul justs a hooligan" she try to understand Paul about Arsenal but Paul told her that "Arsenal is his life, he lived with Arsenal and wait for 19 years ago" never had everthing to change Paul from Arsenal. But she can't also to understand Paul, Paul hard to thing about this! he must to choose between "match" or "woman". these one is a love from childhood and still and these one is his lover. Paul Ashworth will choose one or not! You can see this film from DVDs "Fever Pitch" The role Paul Ashworth played by Colin Firth he is a Arsenal fan, he is a gunners! He supports the Arsenal and learn about the Arsenal while he fliming this film.

I am a Arsenal fan too, the gunners are the best team in London and England. When I saw this movie, I realise that is a nice movie for Arsenal fan. In the film, Paul wait for several time to Arsenal's premier league champion he can wait and never change his mind. From this point, I think that everything can wait although it take a long times and do not give up like the Arsenal in this time, sometimes is a loser sometime is a winner but the Arsenal won my soul. Do not give up until heard whistle like Arsenal.

Thursday, November 13, 2008

Girl with a PEARL EARRING

กว่าจะมีโอกาสได้ดูหนังรื่องนี้รอเวลาเกือบตาย อย่างที่บอกไปแล้วย้ำแล้วย้ำอีกว่า "หนังที่ไม่ใช่หนังกระแส" เมืองไทยจะไม่มีฉาย นั่นคือเรื่องจริง! ก็เลยต้องไปหาแผ่นมาดู เกือบแย่อยู่เหมือนกันเพราะว่าภาษาอังกฤษทั้งเรื่องเลย ดีนะที่มีซับอังกฤษ หุหุ ให้อ่านพอเดาได้ GIRL with a PEARL EARRING ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะทำเป็นหนังนั้น มันเคยเป็นหนังสือมาก่อนซึ่งเมืองไทยมีแต่หนังสือครับพี่น้อง! ซึ่งแปลโดยคุณอุ้ม สิริยากร พุกกะเวส ซึ่งเธอให้ชื่อไทยของหนังสือเรื่องนี้ว่า "หญิงสาวกับต่างหูมุก" แต่รับรองว่ถ้าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยมันต้องไม่ใช่ชื่อนี้แน่นอน ฮ่าๆๆมันต้องออกมาแปลกแน่นอน..มั่นใจ เรื่องราวของหนังเรื่องก็เป็นการกล่าวถึงจิตกร ยอดฝีมือทางด้านการวาดภาพที่มีแสงและเงา ชาวดัตส์ นั่นก็คือ Johannes Vermeer or Jan Vermeer กับสาวใช้ชื่อ Griet หนังดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆแบบค่อยๆเป็นค่อยไป โดยเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ดัดแปลงมาจากนิยายอย่างที่บอกไปแล้ว ซึ่งตัวนิยายเรื่องนี้ได้แรงบรรดาลใจจากภาพวาดจริงของ Vermeer เองซึ่งเป็นที่สงสัยกันว่า "ผู้หญิงในภาพนั้นคือใคร" ซึ่งนักวิจารณ์งานศิลป์เขาก็บอกกันว่า ภาพนี้เหมือนกับภาพของโมนาลิซ่า ที่ไม่รู้ว่าใครคือคนในภาพนั้น! บุคคลในภาพนี้ ก็เลยกลายเป็นแรงบรรดาลใจให้ผู้เขียนเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา โดยคิดว่าผู้หญิงในภาพนั้นน่าจะเป็นสาวใช้ในบ้านของVermeer เอง! โดยในเรื่องนี้กล่าวย้อยไปในปี 1665 เมืองเดล์ฟท ประเทศฮอลแลนด์ "กรีท" ก้าวเข้ามาเป็นสาวใช้ในบ้านของ "มาสเตอร์เฟอร์เมียร์" ซึ่งบ้านหลังนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายภาพของจิตกรผู้นี้ เฟอร์เมียร์เป็นจิตกรที่ใช้เวลานานในการทำงานแต่ละชิ้น แต่งานทุกชิ้นของเขานั้นออกมาดีเสมอ ซึ่งจะถูกขายไปให้ มาสเตอร์ ฟาน รุจเวน ซึ่งเป็นพ่อค้าและผู้นิยมภาพเขียน โดนนิสัยส่วนตัวแล้ว มาสเตอร์เฟอร์เมียรืจะใช้เวลาอยู่ในสตูดิโอของเขาทั้งวัน เหมือนเขามีโลกส่วนตัวในนั้น ซึ่งสาเหตุนี้อาจเป็นเพราะครอบครัวและภรรยาของเขานั้นไม่มีใครที่จะเข้าใจศิลปะเลย เขาจึงเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีใครเข้าถึงเขาได้ ยกเว้นสียแต่ว่าเขาจะออกมาเอง จนวันที่กรีท สาวใช้ในบ้านคนใหม่ข้ามาทำงาน กรีทถูกส่งให้เข้าไปทำความสะอาดสตูดิโอของมาสเตอร์ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนั้น กรีทซึ่งชอบในศิลปะอยู่แล้วจึงจัดการได้ เธอชื่นชอบในงานศิลปะและเธอก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ กรีทสามารถรับรู้ถึงสีและแสง ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟอร์เมียร์ต้องการที่จะมีสักคนที่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างมาสเตอร์กับสาวใช้ กรีทเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์เมียร์โดยผ่านทางงานศิลปะ จนนานวันเข้าทำให้ทั้งสองเข้าใจกันมากขึ้นโดยมีศิลปะเป็นตัวกลาง กรีทช่วยมาสเตอร์ของเขาทำงานศิลปะและเธอก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับเฟอร์เมียร์ในการคิดงานใหม่ๆซึ่งแต่ก่อนเขาจะใช้เวลานานมากกว่าจะคิดงานใหม่ๆ ทั้งสองเหมือนเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน เหมือนว่าเฟอร์เมียร์ได้ดึงกรีทเข้าไปอยู่ในโลกของเขาแล้ว! จนมาวันนึงเขาจำเป็นต้องวาดภาพของชาวใช้ผู้นี้ ซึ่งจะทำให้เขาได้เงินจำนวนมากจากมาสเตอร์ฟาน รุจเวน เพื่อนำมาใช้ในครอบครัว เฟอร์เมียร์ตัดสินใจวาดภาพสาวใช้ผู้นี้และเขาก็วาดจนเสร็จ ซึ่งในตอนท้ายของเรื่องทำให้เราได้เห็นว่าเขาไม่มีทางออกมาจากโลกของเขาได้ ส่วนกรีทก็ไม่อาจจะอยู่ในบ้านนี้ได้อีกต่อไปนั่นเป็นเพราะอะไรนั้นต้องลองไปหาดูเองแล้วจะรู้ ฮ่าๆๆ รับรองสนุกแน่..โดยรวมแล้วพวกเสื้อผ้า คอสตูมต่างๆนั้นก็ดูสวยดี ฉากนี่เหมือนจริงมาก ดูแล้วได้บรรยากาศของดัตส์ สมัยปี 1665 จริงๆซึ่งเขาเนรมิตฉากได้เยี่ยมมาก จากการดูเสร็จแล้วนั้นต้องขอชมผู้กำกับ คนเขียนบท คนตัดต่อเลยว่า "เยี่ยมมาก" ซึ่งเขาสามารถทำให้คนดูอย่างเรารูสึกตามหนังได้เลย โดยเฉพาะฉากระหว่างมาสเตอร์เฟอร์เมียร์กับกรีท ซึ่งในหนังตามบทแล้ว"ไม่มีคำพูดสักนิดเลยว่าเขาทั้งสองดูเหมือนจะชอบกันแบบชู้สาว" แต่การแสดงออกในแต่ละฉากเนี๊ยะทำให้คนดูรู้สึกได้เลยว่ามาสเตอร์กับสาวใช้เนี๊ยะต้องคิดอะไรแน่ๆ ในตัวหนังมันมีความ"หวาบหวาม" แฝงอยู่ในทุกๆฉากที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นฉากตอนสอนบดสีให้เป็นผง ฉากที่เฟอร์เมียร์ให้กรีทบอกวีของก้อนเมฆ ฉากที่ทั้งสองนั่งผสมสีอยู่ด้วยกันซึ่งฉากนี้ต้องยอมรับเลยว่ามันสื่อมากๆ (ถ้าดูจากมืองเฟอร์เมียร์นะ มันแสดงว่ามันมีอะไรแอบแฝงมากกว่าสาวใช้กับมาสเตอร์แน่ๆ) และฉากตอนเจาะหูที่เฟอร์เมียร์เป็นคนเจาะให้และกอดกรีท แบบว่ามันมีความหวาบหวามมาก..ซึ่งอาจจะมองจากสายตาก็ได้ เวลาที่เฟร์เมียร์มองกรีท..แอบแฝงแน่นอน..แต่สุดท้ายเขาและเธอก็ต่างมีทางเป็นของตัวเอง หนังเรื่องนี้ต้องขอบอกว่า คอลิน เฟิร์ธ เล่นได้ดูเหมือนว่าเขาเป็นมาสเตอร์เฟอร์เมียร์เองจริงๆเลย คือว่าเขาดูเก็บอารมณ์ได้ดีมาก ไม่แสดงออกให้รู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรและกำลังคิดอะไรอยู่ เขาดูนิ่งมากในบทนี้ แต่ก็มีซีนอารมณ์เหมือนกัน ซึ่งไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับบทบาทของ คอลิน เฟิร์ธ ส่วนในบทของ "กรีท" นั้นรับบทโดย สการ์เลต โจฮันสัน ซึ่งต้องขอชมเลยว่าสรรหาคนได้เหมือนกับคนในภาพจริงมาก ฝ่ายแต่งหน้าแต่งหน้าได้เก่งมากสามารถเนรมิต สการ์เลต ให้เหมือนกับภาพวาดได้ซึ่งดูดีมาก! ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับการรอคอยมาแสนนามกับการที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนของตัวหนังนั้นอยากจะบอกว่าเป็นหนังหวังรางวัลกันเลยทีเดียวซึ่งสามารถเข้าชิงถึง 3 รางวัลออสการ์คือ Cinematography, Art Direction, Costume Design ปี 2003 และยังเข้าชิง 2 ลูกโลกทองคำ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากกับหนังเรื่องนี้..เก่าก็จริง..แต่มันเก๋ามาก

Thursday, November 6, 2008

The Tilme BFI 52nd London Film Festival--Easy Virtue & Genova

เทศกาลฟิมล์ของอังกฤษซึ่งเปิดตัวและปิดตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15-30 ตุลาคม งานนี้จัดที่ Leicester Square โดยในเทศกาลนี้มีหนังของคอลิน เฟิร์ธ ร่วมฉายด้วยถึงสองเรื่องด้วยกัน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A Single Man ที่ Los angeles USA เป็นเวลานาน



โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเฟิร์ธที่ฉายนั้นก็คือ Genova ซึ่งถือเป็นรอบปฐมทัศน์ในลอนดอนด้วยเช่นกัน (London premiere) เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ Odeon west end, Leicester Square โดยงานนี้ คอลิน เฟิร์ธ ควงคู่เดินบนพรมแดงมากับภรรยาของเขานั่นก็คือ ลิเวีย เฟิร์ธ ซึ่งเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากกก Genova เป็นหนังที่ฉายไปแล้วในหลายเทศกาลหนังในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น Toronto Film Festival, San Sebantian Festival ประเทศสเปนและ เทศกาลหนังเมืองเวนิสในอิตาลี ซึ่งที่ San Sebastian นั้นผู้กำกับของเรื่องก็คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปแล้วจากการกำกับหนังเรื่องนี้นี่หละ

โดยหนังเรื่องนี้จะเน้นไปในเรื่องของครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียภรรยาและแม่ไปอย่างกระทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ผู้เป็นพ่อ นั่นก็คือคอลิน เฟิร์ธ ตัดสินใจพาลูกสาวสองคนย้ายจากลอนดอนไปอยู่ที่เมืองจีโน ประเทศอิตาลีแทน และนี่คือที่มาของชื่อหนังเรื่องนี้ Genova เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไงเราก็คงต้องรอลุ้นว่าจะเข้าฉายในเมืองไทยมั๊ย?? แต่เชื่อว่าโอกาสที่คนไทยจะได้ดูนั้นคงประมาณ 5% ฮ่าๆๆ หนังดีดีคนไทยมักจะไม่ได้ดูอยู่แล้วโดยเฉพาะหนังทางฟากอังกฤษยิ่งแล้วใหญ่ พาออกนอกเรื่องไปไกลละ เข้าเรื่องก่อนงานนี้ คอลิน เฟิร์ธ มาในชุดสูทสีเข้มแบบว่าหล่อแบบเป็นทางการกันเลยทีเดียวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าส่วนลิเวียนั้น มาในชุดเดรสสีดำเข้ากันดี ซึ่งลิเวียนั้นยังไม่ทิ้งสไตล์เดิมนั่นก็คือเน้นน่ารัก..เหมาะมากกกกก งานนี้ทั้งคอลินและลิเวียเดินเข้างานมาในใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นกันเองกับทุกคนพร้อมทั้งทักทายแฟนๆและสื่อมวลชนอย่างสนุกสนาน Mr.& Mrs. Firth is so great!! and He looks so hot in this suit.

และหลังจากนั้น 6 วัน 28 ตุลาคม คอลิน เฟิร์ธ ก็ได้มาเปิดตัวภาพยนตร์ของเขาอีกเรื่องในเทศกาลนี้นั่นก็คือ Easy Virtue ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาได้ประกบ เบน บาร์นส เจสสิกา เบลล์ และ คริสติน สกอตส์ โทมัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็น London Premiere เช่นกัน ในงานวันนั้นเขาก็ควงคู่มากับภรรยาสุดที่รักเหมือนเดิม ซึ่งวันนั้นบรรยากาศชุ่มช่ำไปด้วยสายฝนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหวานของคู่นี้ลดลงได้เลย..คอลิน เฟิร์ธ มาในชุดสูทสีดำ โกนหนวดเคราซะเรียบร้อยเชียว หล่อมากก ส่วนลิเวียมาในชุดเดรสเหมือนเดิมแต่คราวนี้มีเสื้อคลุมด้วย พร้อมด้วย necklaceสีขาว สวยมากกเช่นกัน ในงานวันนั้นเหล่านักแสดงมากันพร้อมหน้าเว้นเพียงแต่ คริสทิน สกอตส์ โทมัส เท่านั้นที่ไม่สมารถมาร่วมงานได้ หนังเรื่องนี้จะเข้าฉายใน London วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้แล้ว ซึ่งเป็นที่น่ายินดีสำหรับแฟนเฟิร์ธในอังกฤษจริงๆที่จะได้ดูหนังของเขาแล้ว แต่ในเมืองไทยนี่ยังขอพูดคำเดิมว่า--อีกนานและอาจไม่มีโอกาสเลย--ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวคอมเมดี้ ครอบครัว เคยได้อ่านรีวิวละแต่แปลไม่ค่อยรู้เรื่องซะเท่าไหร่ แบบว่ารู้บ้างไม่รู้บ้างมันก็เลยมึนๆนิดนึง แต่เท่าที่ได้ดูจาก trailer แล้วนั้นหนังเรื่องนี้ไม่น่าผิดหวังแน่นอนสำหรับแฟนเฟิร์ธและคอหนังแนวคอมเมดี้เฉพาะแค่ฉากเต้นรำของเฟิร์ธกับนางเอกของเรื่อง เจสสิกา เบลล์ก็สุดบรรยายแล้ว!! แล้วอย่างนี้จะน่าดูมั๊ยหละ Easy Virtue สิ่งง่ายๆที่น่าชื่นชม ทั้งสองเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ปิดท้ายปีของคอลิน เฟิร์ธ เลยก็ว่าได้ เพราะเรื่องอื่นๆนั้นที่กำลังอยู่ในproduct มีกำหนดออกฉายปีหน้า ซึ่งส่วนมากเป็นกลางและปลายปีหน้าเกือบทั้งหมด--และตอนนี้คอลิน เฟิร์ธ กำลังถ่ายทำบางส่วนของ The Single Man อยู่ที่ LA California
--THANK ! FOR ALL PICS FROM FIRTH SISTER--

Monday, November 3, 2008

Firth in LA

ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่าเฟิร์ธตกลงรับล่นหนังของทอม ฟอร์ดแล้ว เรื่อง A Single Man และที่สำคัญเล่นเป็นเกย์ซะด้วย..เยี่ยมไปเลย ตอนนี้เฟิร์ธเลยเดินทางไป LA ละเพื่อจะได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ จากที่เคยอ่านๆผ่านตามา เหตุผลที่เขารับเล่นเรื่องนี้นั้นก็มีหลายเหตุผลอยู่ไม่ว่าจะเป็น "เขาจะได้ใช้เวลาขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่ออยู่กับลูกชายอีกคนของเขาที่อยู่ที่ LA อยู่แล้วนั่นก็คือวิล เฟิร์ธ" หรือบางคนให้ความเห็นว่า "เขาอยากร่วมงานกับจูเลี่ยน มัวร์ (บางคนก็เขียนจูลีแอน โห๊ะ ช่างเหอะ) ที่ในเรื่องนี้รับบทเป็นเพื่อนสนิทของเขาและนี่คือโอกาส" และบางคนก็ให้ความเห็นว่า "เรื่องนี้เขาอาจจะได้ค่าตัวเยอะ เพราะเขาต้องรับบทเป็นเกย์" แต่ทำไม่ไม่เห็นพวกแหล่งข่าวทั้งหลายออกมาพูดบ้างเนาะว่าที่เขารับเล่นเรื่องนี้เพราะว่า "เขาอยากเป็นเกย์" 555+ ส่วนทางผูกำกับของเรื่อง ทอม ฟอร์ด ดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังและก็ชื่อดังด้วยในวงการแฟชั่น เขาได้ให้เหตุผลว่าที่เลือก คอลิน เฟิร์ธ มารับบทนี้เพราะว่าได้เห็น เฟิร์ธในบทของแฮร์รี่ ใน MAMMA MIA! แล้วเขาบอกตัวเองเลยว่า "นี่แหละคือคนที่ใช่สำหรับหนังของเขา เฟิร์ธเหมาะกับบทนี้มาก" (เห้อ..ไม่อยากจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ไม่เห็นเหมือนเกย์ตรงไหนเลย) ซึ่งหลังจากหนัง MAMMA MIA! ออกฉายเฟิร์ธก็กลายเป็นheart-throb ของพวกเกย์ไปซะและ ซึ่งอายุก็ไม่ใช่น้อยเลยปาเข้าไป 48 และแต่ก็ยังดูหล่อแบบว่าเกย์ยังชอบ ทำไปได้เลยนะป๋าเฟิร์ธ??? เฟิร์ธบอกว่า "หลังจากที่หนัง MAMMA MIA! ฉายแล้วนั้นส่วนมากบทที่ส่งมาถึงผมนั้นเป็น"บทเกย์"ซะส่วนใหญ่" ขนาดนี่แค่เป็นเกย์แค่ท้ายเรื่องนะเนี๊ยะ แบบว่าเพิ่งรู้ตัวตอนแก่ว่าตัวเองเป็นเกย์ ยังมีคนส่งบทมาซะขนาดนั้น แต่ถ้าเรื่อง A Single Man เป็นเกย์ตั้งแต่ต้นเรื่อง แบบว่าเป็นเกย์ทั้งชีวิตก็ว่าได้ แน่นอนว่ามันอาจจะมีฉากเร่าร้อนระหว่างคู่เกย์ ว้าวววว ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะออกมาเป็นยังไง รับรองว่าถ้าเรื่องนี้ออกฉายเมื่อไหร่ไม่เพียงแต่จะมีแค่บทเกย์ที่ติดต่อมาอย่างถล่มถลายเท่านั้นแต่อาจจะมีเกย์มาติดต่อถึงบ้านเลยก็ว่าได้ อู่ว์วว ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการของเฟิร์ธรึป่าวที่ต้องการสร้างฐานแฟนหนังกลุ่มใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยการเปิดโลกที่สาม..แต่ใครจะรู้ถ้าเกิดหนังเรื่องนี้ออกมาดีเฟิร์ธอาจจะมีโอกาสคว้าออสการ์ในบทนักแสดงนำชายที่รับบทเป็นเกย์ก็ได้ เหอๆๆ หรือรางวัลอื่นอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้เถอะไหนๆก็เสี่ยงละแถมแฟน(ภรรยา)ก็ไม่ว่าอีก ดีจริงๆเลยสนับสนุนกันดีจริงๆ คู่นี้นี่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของฮอลลีวูดได้เลยนะเนี๊ยะ! นี่ละน้าที่เฟิร์ธเคยบอกไว้ว่าเขาชอบรับบทแปลกๆใหม่ๆไม่ชอบย่ำอยู่กับบทเดิมๆ แบบว่าชอบลองของและตอนนี้เขาก็ทำแล้วโดยเล่นเป็นเกย์ทั้งแท่ง! ใครจะรู้อีกหน่อยเขาอาจจะรับเล่นบทผู้หญิงก็ได้..ต้องรอดูต่อไป..แต่ถึงจะยังไง..FIRTH IS THE ONE..JUST AS HE IS..

Tuesday, October 28, 2008

MAMMA MIA!


หลายๆคนคงได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันไปแล้ว เพราะเข้าฉายในบ้านเราไปตั้งแต่เดือนสิงหานู้นแล้ว ทั้งๆที่ประเทศอื่นเขาเข้าฉากันตั้งแต่กรกฎา และตอนนี้ก็มีบางประเทศที่หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เปิดตัว แต่ตอนนี้รายรับรวมทั่วโลกก็กวาดไปแล้วกว่า 400 ล้านเหรียญซึ่งถือว่าเป็นหนังทำเงินของค่ายยูนิเวอร์แซลของปีนี้เลยก็ว่าได้ ต้องบอกว่าเป็นหนังเพลงที่กระแสแรงมาก ได้รับการตอบรับจากทั่วโลกเป็นอย่างมากแต่ในบ้านเรากลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะหนังเข้าฉายไปกว่าหนึ่งเดือนแต่กลับทำเงินได้แค่ 10 ล้านต้นๆเท่านั้นเอง อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังกระแสของคนไทยก็เท่านั้น เพราะตังของหนังนั้นดัดแปลงมาจากเพลงฮิตของวง ABBA ซึ่งต้องคนมีอายุหน่อยถึงจะรู้จัก ซึ่งเราก็เพิ่งรู้จักวงนี้จากการดูหนังเรื่องนี้นี่แหละ! วง ABBA เป็นวงป๊อปจากประเทศสวีเดนแต่เขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษและมีเพลงเพงฮิตหลายเพลงมาก เป็นที่โด่งดังในยุโรป คนที่เขียนบทของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงนำเพลงของABBA มาเป็นเมนหลักในการร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกัน โดย Mamma Mia! เป็นละครเวทีมาก่อนและมีคนดูมากที่สุดถึง 30 ล้านคนทั่วโลกและเปิดฉายเป็นจำนวนรอบมากที่สุดในโลกเช่นกัน เดินทางแสดงมาแล้วในหลายประเทศซึ่งถือว่าเป็นละครเวทีที่ประสบความสำเร็จมากก็ว่าได้ (แต่คนไทยก็ไม่เคยได้ดูยกเว้นคนที่มีโอกาสไปดูที่ต่างประเทศ) ก็เลยนำมาสู่การขึ้นจอเงินของหนังเรื่องนี้ โดยผู้อำนวยการสร้างนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลเลย เป็นที่รู้จักของแฟนหนังในประเทศไทยเป็นอย่างดี นั่นก็คือ Tom Hanks นั่นเอง และส่วนตัวผู้กำกับนั้นก็เป็นคนที่กำกับตอนทำละครเวทีนั่นแหละ เธอคือ ฟิลินด้า ลอยด์ ซึ่งเธอคือคนที่เหมาะที่สุดที่จะกำกับหนังเรื่องนี้ ส่วนในเรื่องของเพลงประกอบนั้นคงเดาไม่ยากเพราะเป็นหนังเพลงของ ABBA คนที่ทำเพลงก็ต้องเป็นสมาชิกของวงแน่นอน หนังเรื่องนี้ก่อนอื่นต้องบอกว่ามันหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเพลงของ ABBA ก่อนเพราะดูจากตัวหนังแล้วมันไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจไปกว่านี้แล้ว นอกเสียจากจะเบี่ยงความสนใจไปที่ผู้แสดงหลักในเรื่องซึ่งคับคั่งไปด้วยดาราที่มีฝือมือเยี่ยมทั้งนั้น เมนของหนังเรื่องนี้ก็คืองานแต่งงานที่เจ้าสาวต้องการรู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครกันแน่เพราะแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง แต่เธอดันไปเจอไดอารี่ของแม่ตัวเองเข้า และในนั้นเขียนถึงผู้ชาย 3 คน เธอจึงคิดว่า 1ใน3 คนนี้ต้องมีสักคนที่เป็นพ่อของเธอแน่นอน เธอจึงจัดการเชิญทั้งสามคนมาร่วมงานแต่ของเธอ และเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้น โดยโลเคชั่นของเรื่องนี้เป็นเกาะๆหนึ่งในประเทศกรีซ ซึ่งเป็นที่ที่โซเฟีย(อะแมนด้า)อาศัยอยู่กับแม่ของเธอ (เมอรีล สตรีฟ) แม่ของเธอทำธุรกิจโรงแรมเล็กๆบนเกาะและตอนนี้โซเฟียกำลังจะแต่งงานกับสกาย(โดมินิค คูเปอร์) โซเฟียตัดสินใจเชิญ แซม คาร์ไมเคิล (เพียร์ซ บรอสแนน) แฮร์รี่ ไบร์ท (คอลิน เฟิร์ธ)และ บิล แอนเดอร์สัน (สแตนแลน สตาร์การ์ด) ซึ่งเธอคิดว่าหนึ่งในสามคนนี้ต้องเป็นพ่อของเธอสักคน โดยที่เธอไม่ได้บอกแม่ของเธอเรื่องราววุ่นๆจึงเกิดขึ้นบนเกาะก่อนงานแต่งงาน โดยเรื่องราวของเรื่องทุกฉากทุกตอนถูกถ่ายทอดและร้อยเรียงผ่านบทเพลงฮิตต่างๆของวง ABBA โดยนักแสดงทุกคนต่างโชว์การร้องเพลงของตัวเองอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะรายของเมอรีล สตรีฟ นั้นถือว่ายอดเยี่ยมมากทั้งร้องทั้งเต้น จนลืมไปเลยว่าเธอนั้นอายุปาเข้าไป 59ปีแล้ว ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับคนที่ตีตั๋วเข้ามาดูsheแกร้องเพลง แต่สำหรับฝ่ายชายนั้นต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นหนัง"หายนะ" ของป๋าเพียร์ซ บรอสแนน เลยก็ว่าได้ เพราะดูเวลาจากที่แกร้องเพลงในหนังแล้วบอกได้คำเดียวว่าหายนะจริงๆ เพราะสีหน้าของเฮียแกเวลาร้องเพลงนั้นดูไร้ซึ่งอารมณ์มาก หน้าตาบูดเบี้ยวไปหมด ซึ่งมันน่าจะดีกว่านี้แต่ก็ช่างเหอะก็น่าจะรู้กันอยู่ว่าอดีตสายลับ เจมส์ บอนด์ ร้องเพลงไม่เป็น 55+ ซึ่งเพียร์ซ บรอสแนน เคยให้สัมภาษณ์ว่าที่เขารับเล่นเรื่องนี้เพราะว่าต้องการลองบทใหม่ ซึ่งก็คงใหม่สมใจเฮียแกไปเลย และเขาเคยบอกไว้ว่าในบรรดาพ่อทั้งสามคนของเรื่องก็ไม่มีใครร้องเพลงได้ ถือว่าเสมอกันหมด เป็นอันว่ามาเริ่มใหม่เหมือนกันและการเข้าห้องอัดถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด! ซึ่งในบรรดาพ่อทั้งสามคนนั้นคนที่ร้องดีสุดนี่คงไม่ต้องบอกว่า ถ้าคนที่ได้ดูแล้วน่าจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าในบรรดฝ่ายชายนั้นร้องดีสุดก็คงจะเป็น คอลิน เฟิร์ธ นี่แหละเพระเฮียแกก็เคยผ่านการร้องเพลงมาบ้างแล้วแต่ก็แค่เพลงเดียวเท่านั้น โดยในเรื่องนี้คอลิน เฟิร์ธ ร้องเพลงเดียวที่เป็นเพลงเต็มๆของตัวเองโดยเพลงนั้นใช้เวลาแค่สามนาทีกว่าๆเท่านั้นเอง แต่เขาบอกว่ากว่าจะร้องเพลงนี้ออกมาได้เขาใช้เวลาอยู่ในห้องอัดถึง 4 วันกันเลยทีเดียวซึ่งเขาพูดไปและก็หัวเราะไป และจะมีฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขาเล่นกีต้าร์บอกเลยว่า เป็นฝีมือ คอลิน เฟิร์ธ เล่นเองร้องเองแน่นอน ส่วนคนอื่นนั้นก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานไม่แย่ไปแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีสำหรับคนที่ไม่ใช่นักร้องอาชีพ และอีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงนั่นก็คือครื่องแต่งกาย ส่วนมากฝ่ายชายจะบ่นกันน่าเพราะว่าพวกเขาต้องใส่ชุด spandex เพียร์ซ บรอสแนน พูดออกมาว่า "ถ้าผมรู้ว่าต้องใส่ชุด spandex แบบนี้ผมน่าจะเรียกค่าตัวเพิ่ม" ส่วนคอลิน เฟิร์ธ นั้นก็บอกอย่างติดตลกว่า "ผมพยายามจะใส่มันและเอามันกลับบ้านด้วยและเขายังพูดอีกว่าหนึ่งปีของผมกับชุดนี้ ชุดนี้มันรัดมากเวลาผมเต้นผมต้องใช้ร่างกายถึงสองเท่าเลยที่ดียวกว่าจะออกมาอย่างที่เห็น" ถ้าคนที่ดูตอนเครดิตตอนจบก็จะเห็นชุด sapdex เหล่านี้แน่นอนซึ่งดูจากภาพก็น่าจะรัดอยู่55+ และอีกเหตุผลที่นักแสดงหลายคนรับแสดงเรื่องนี้ก็เป็นเพราะโลเคชั่นถ่ายทำสวยมากและนักแสดงชายของเรื่องบอกว่าพวกเขาเบื่อที่จะใส่สูทและอยากแต่งหน้าใส่ชุดสวยๆบ้าง55+ หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากเหมาะสำหรับการพักผ่อน อย่าคาดหวังกับการดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะคุณอาจจะเดาไม่ถูกก็ได้แต่รับรองว่าพอดูจบแล้วคุณจะยิ้มได้อย่างไม่ผิดหวังและไม่รู้สึกถึงคำว่า"ไม่คุ้ม" รอดีวีดีออกเมื่อไหร่เราอาจจะได้เห็นเบื้องหลังที่ฮาๆก็ได้ ตอนนี้ก็รอไปก่อน