Thursday, November 13, 2008

Girl with a PEARL EARRING

กว่าจะมีโอกาสได้ดูหนังรื่องนี้รอเวลาเกือบตาย อย่างที่บอกไปแล้วย้ำแล้วย้ำอีกว่า "หนังที่ไม่ใช่หนังกระแส" เมืองไทยจะไม่มีฉาย นั่นคือเรื่องจริง! ก็เลยต้องไปหาแผ่นมาดู เกือบแย่อยู่เหมือนกันเพราะว่าภาษาอังกฤษทั้งเรื่องเลย ดีนะที่มีซับอังกฤษ หุหุ ให้อ่านพอเดาได้ GIRL with a PEARL EARRING ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะทำเป็นหนังนั้น มันเคยเป็นหนังสือมาก่อนซึ่งเมืองไทยมีแต่หนังสือครับพี่น้อง! ซึ่งแปลโดยคุณอุ้ม สิริยากร พุกกะเวส ซึ่งเธอให้ชื่อไทยของหนังสือเรื่องนี้ว่า "หญิงสาวกับต่างหูมุก" แต่รับรองว่ถ้าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยมันต้องไม่ใช่ชื่อนี้แน่นอน ฮ่าๆๆมันต้องออกมาแปลกแน่นอน..มั่นใจ เรื่องราวของหนังเรื่องก็เป็นการกล่าวถึงจิตกร ยอดฝีมือทางด้านการวาดภาพที่มีแสงและเงา ชาวดัตส์ นั่นก็คือ Johannes Vermeer or Jan Vermeer กับสาวใช้ชื่อ Griet หนังดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆแบบค่อยๆเป็นค่อยไป โดยเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ดัดแปลงมาจากนิยายอย่างที่บอกไปแล้ว ซึ่งตัวนิยายเรื่องนี้ได้แรงบรรดาลใจจากภาพวาดจริงของ Vermeer เองซึ่งเป็นที่สงสัยกันว่า "ผู้หญิงในภาพนั้นคือใคร" ซึ่งนักวิจารณ์งานศิลป์เขาก็บอกกันว่า ภาพนี้เหมือนกับภาพของโมนาลิซ่า ที่ไม่รู้ว่าใครคือคนในภาพนั้น! บุคคลในภาพนี้ ก็เลยกลายเป็นแรงบรรดาลใจให้ผู้เขียนเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา โดยคิดว่าผู้หญิงในภาพนั้นน่าจะเป็นสาวใช้ในบ้านของVermeer เอง! โดยในเรื่องนี้กล่าวย้อยไปในปี 1665 เมืองเดล์ฟท ประเทศฮอลแลนด์ "กรีท" ก้าวเข้ามาเป็นสาวใช้ในบ้านของ "มาสเตอร์เฟอร์เมียร์" ซึ่งบ้านหลังนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายภาพของจิตกรผู้นี้ เฟอร์เมียร์เป็นจิตกรที่ใช้เวลานานในการทำงานแต่ละชิ้น แต่งานทุกชิ้นของเขานั้นออกมาดีเสมอ ซึ่งจะถูกขายไปให้ มาสเตอร์ ฟาน รุจเวน ซึ่งเป็นพ่อค้าและผู้นิยมภาพเขียน โดนนิสัยส่วนตัวแล้ว มาสเตอร์เฟอร์เมียรืจะใช้เวลาอยู่ในสตูดิโอของเขาทั้งวัน เหมือนเขามีโลกส่วนตัวในนั้น ซึ่งสาเหตุนี้อาจเป็นเพราะครอบครัวและภรรยาของเขานั้นไม่มีใครที่จะเข้าใจศิลปะเลย เขาจึงเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีใครเข้าถึงเขาได้ ยกเว้นสียแต่ว่าเขาจะออกมาเอง จนวันที่กรีท สาวใช้ในบ้านคนใหม่ข้ามาทำงาน กรีทถูกส่งให้เข้าไปทำความสะอาดสตูดิโอของมาสเตอร์ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนั้น กรีทซึ่งชอบในศิลปะอยู่แล้วจึงจัดการได้ เธอชื่นชอบในงานศิลปะและเธอก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ กรีทสามารถรับรู้ถึงสีและแสง ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟอร์เมียร์ต้องการที่จะมีสักคนที่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างมาสเตอร์กับสาวใช้ กรีทเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์เมียร์โดยผ่านทางงานศิลปะ จนนานวันเข้าทำให้ทั้งสองเข้าใจกันมากขึ้นโดยมีศิลปะเป็นตัวกลาง กรีทช่วยมาสเตอร์ของเขาทำงานศิลปะและเธอก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับเฟอร์เมียร์ในการคิดงานใหม่ๆซึ่งแต่ก่อนเขาจะใช้เวลานานมากกว่าจะคิดงานใหม่ๆ ทั้งสองเหมือนเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน เหมือนว่าเฟอร์เมียร์ได้ดึงกรีทเข้าไปอยู่ในโลกของเขาแล้ว! จนมาวันนึงเขาจำเป็นต้องวาดภาพของชาวใช้ผู้นี้ ซึ่งจะทำให้เขาได้เงินจำนวนมากจากมาสเตอร์ฟาน รุจเวน เพื่อนำมาใช้ในครอบครัว เฟอร์เมียร์ตัดสินใจวาดภาพสาวใช้ผู้นี้และเขาก็วาดจนเสร็จ ซึ่งในตอนท้ายของเรื่องทำให้เราได้เห็นว่าเขาไม่มีทางออกมาจากโลกของเขาได้ ส่วนกรีทก็ไม่อาจจะอยู่ในบ้านนี้ได้อีกต่อไปนั่นเป็นเพราะอะไรนั้นต้องลองไปหาดูเองแล้วจะรู้ ฮ่าๆๆ รับรองสนุกแน่..โดยรวมแล้วพวกเสื้อผ้า คอสตูมต่างๆนั้นก็ดูสวยดี ฉากนี่เหมือนจริงมาก ดูแล้วได้บรรยากาศของดัตส์ สมัยปี 1665 จริงๆซึ่งเขาเนรมิตฉากได้เยี่ยมมาก จากการดูเสร็จแล้วนั้นต้องขอชมผู้กำกับ คนเขียนบท คนตัดต่อเลยว่า "เยี่ยมมาก" ซึ่งเขาสามารถทำให้คนดูอย่างเรารูสึกตามหนังได้เลย โดยเฉพาะฉากระหว่างมาสเตอร์เฟอร์เมียร์กับกรีท ซึ่งในหนังตามบทแล้ว"ไม่มีคำพูดสักนิดเลยว่าเขาทั้งสองดูเหมือนจะชอบกันแบบชู้สาว" แต่การแสดงออกในแต่ละฉากเนี๊ยะทำให้คนดูรู้สึกได้เลยว่ามาสเตอร์กับสาวใช้เนี๊ยะต้องคิดอะไรแน่ๆ ในตัวหนังมันมีความ"หวาบหวาม" แฝงอยู่ในทุกๆฉากที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นฉากตอนสอนบดสีให้เป็นผง ฉากที่เฟอร์เมียร์ให้กรีทบอกวีของก้อนเมฆ ฉากที่ทั้งสองนั่งผสมสีอยู่ด้วยกันซึ่งฉากนี้ต้องยอมรับเลยว่ามันสื่อมากๆ (ถ้าดูจากมืองเฟอร์เมียร์นะ มันแสดงว่ามันมีอะไรแอบแฝงมากกว่าสาวใช้กับมาสเตอร์แน่ๆ) และฉากตอนเจาะหูที่เฟอร์เมียร์เป็นคนเจาะให้และกอดกรีท แบบว่ามันมีความหวาบหวามมาก..ซึ่งอาจจะมองจากสายตาก็ได้ เวลาที่เฟร์เมียร์มองกรีท..แอบแฝงแน่นอน..แต่สุดท้ายเขาและเธอก็ต่างมีทางเป็นของตัวเอง หนังเรื่องนี้ต้องขอบอกว่า คอลิน เฟิร์ธ เล่นได้ดูเหมือนว่าเขาเป็นมาสเตอร์เฟอร์เมียร์เองจริงๆเลย คือว่าเขาดูเก็บอารมณ์ได้ดีมาก ไม่แสดงออกให้รู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรและกำลังคิดอะไรอยู่ เขาดูนิ่งมากในบทนี้ แต่ก็มีซีนอารมณ์เหมือนกัน ซึ่งไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับบทบาทของ คอลิน เฟิร์ธ ส่วนในบทของ "กรีท" นั้นรับบทโดย สการ์เลต โจฮันสัน ซึ่งต้องขอชมเลยว่าสรรหาคนได้เหมือนกับคนในภาพจริงมาก ฝ่ายแต่งหน้าแต่งหน้าได้เก่งมากสามารถเนรมิต สการ์เลต ให้เหมือนกับภาพวาดได้ซึ่งดูดีมาก! ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับการรอคอยมาแสนนามกับการที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนของตัวหนังนั้นอยากจะบอกว่าเป็นหนังหวังรางวัลกันเลยทีเดียวซึ่งสามารถเข้าชิงถึง 3 รางวัลออสการ์คือ Cinematography, Art Direction, Costume Design ปี 2003 และยังเข้าชิง 2 ลูกโลกทองคำ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากกับหนังเรื่องนี้..เก่าก็จริง..แต่มันเก๋ามาก

No comments: